ถอดเทปพระธรรมเทศนา

เทป095

พระพุทธเจ้าเป็นสรณะคือที่พึ่ง

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

สภาวทุกข์ ทุกข์ตามสภาพ ๓

ทุกขสัจจะ ๓ ประการ ๕

สังขตลักษณะ ๖

ความหลงยึดถือด้วยอุปาทาน ๗

เพราะเหตุว่าไม่เห็นทุกข์ ๘

คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์

ม้วนที่ ๑๒๒/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๒๒/๒ ( File Tape 95 )

อณิศร โพธิทองคำ

บรรณาธิการ

พระพุทธเจ้าเป็นสรณะคือที่พึ่ง

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต

ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง

เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

 

สวากขาโต ภควตาธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว

สันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุ หรือรวมเรียกว่าวิญญูผู้รู้พึงรู้เฉพาะ หรือวิญญูพึงเห็นได้เอง

อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามา

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้เฉพาะตน

 

อันวิญญูคือผู้รู้นี้ ก็คือผู้ที่ปฏิบัติทำสติและปัญญาให้บังเกิดขึ้นในธรรม

ด้วยการปฏิบัติทำสติปัฏฐานคือตั้งสติในกายเวทนาจิตธรรม

ปฏิบัติทำโพชฌงค์ซึ่งเป็นองค์คุณแห่งความรู้ให้บังเกิดขึ้น ตามหลักโพชฌงค์ ๗

ตั้งแต่สติที่เพื่อรู้ทางปัญญา จนถึงอุเบกขาความเข้าเพ่งสงบอยู่ในภายใน

ด้วยความรู้ ( เริ่ม ๑๒๒/๒ ) สงบ อันเป็นภาวะที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

และเป็นภาวะที่รู้สงบอยู่ ไม่ยึดถืออะไรๆ เป็นผู้ดู เป็นผู้รู้อยู่ในภายใน

และเมื่อเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็น้อมจิตที่เป็นอุเบกขานี้เพื่อรู้ขันธ์ ๕

เป็นทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ ก็เลื่อนชั้นของความรู้ขึ้นเป็นรู้ในสัจจะ

ซึ่งจะพบทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์จากขันธ์ ๕ ที่น้อมจิตเพื่อรู้

 

สภาวทุกข์ ทุกข์ตามสภาพ

 

และเมื่ออาศัยอธิบายที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดแสดงธรรมอยู่จำเพาะหน้า

ว่าเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ ซึ่งเป็นสภาวทุกข์ ทุกข์ตามสภาพ

จนถึงกล่าวโดยย่อ ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ อันเรียกว่าอุปาทานขันธ์

ขันธ์เป็นที่ยึดถือเป็นทุกข์ ก็คือรูปขันธ์กองรูป ก็ดูรูปกายนี้ที่ตน

เวทนาขันธ์เป็นทุกข์ ก็ดูเวทนานี้ที่ตน สัญญาขันธ์เป็นทุกข์ ก็ดูสัญญานี้ที่ตน

สังขารขันธ์เป็นทุกข์ ก็ดูสังขารความคิดปรุงหรือปรุงคิดที่ตน

วิญญาณขันธ์เป็นทุกข์ ก็ดูวิญญาณขันธ์ วิญญาณความรู้เห็น รู้ได้ยิน

รู้ทราบกลิ่น ทราบรส ทราบโผฏฐัพพะ รู้เรื่องที่ใจคิดที่ตน

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่ารูปขันธ์ ก็ดูรูปขันธ์ที่ตนเป็นต้นดั่งนี้

ก็จะได้เห็นว่ารูปเป็นอย่างนี้ เวทนาเป็นอย่างนี้ สัญญาเป็นอย่างนี้

สังขารเป็นอย่างนี้ วิญญาณเป็นอย่างนี้ และเมื่อดูเห็นพบขันธ์ ๕ ที่ตนเองดั่งนี้

ก็ย่อมจะได้เห็นได้พบความเป็นไปของขันธ์ ๕ ที่ตน

 

พระพุทธเจ้าได้ตรัสบอกอีกว่า

ความเกิดขึ้นของรูป ของเวทนา ของสัญญา ของสังขาร ของวิญญาณ อย่างนี้

ก็ดูที่ขันธ์ ๕ ที่ตนเองดังกล่าว ความเกิดขึ้นของขันธ์ ๕ ที่ตนเองก็จะปรากฏ

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าความดับของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างนี้

ก็ดูที่ขันธ์ ๕ ที่ตนเอง ความดับของขันธ์ ๕ ที่ตนเองก็จะปรากฏ

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นสรณะคือที่พึ่ง ก็เป็นที่พึ่งอย่างนี้

และที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาบอกนี้ ก็โดยที่ได้ระลึกถึงคำสั่งสอน ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัส

สั่งสอนไว้ดังกล่าว และในขณะที่ปฏิบัติเมื่อถึงขั้นตอนที่เป็นตัวปัญญา

หากปัญญาของตนเองยังไม่อาจที่จะก้าวไปเข้าถึงได้ ก็ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ

คือที่พึ่ง ระลึกได้ถึงคำสั่งสอนที่ทรงสั่งสอนไว้ อันได้ฟังได้อ่านได้กำหนดไว้ในใจแล้ว

จึงเป็นเหมือนอย่างเสด็จมาสอนมาเตือน

 

และลักษณะดังที่กล่าวมานี้ได้มีแสดงไว้ในตำนานทางพระพุทธศาสนา

ถึงพระภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมบางรูปที่เมื่อได้ปฏิบัติธรรม

จิตได้ล่วงเข้าไปถึงประตูของความตรัสรู้ หรือของความเห็นธรรม

แต่ว่าอาศัยที่ปัญญายังอ่อน ยังไม่อาจที่จะก้าวเข้าไปได้

ท่านก็ปรากฏเห็นพระพุทธเจ้ามาตรัสบอกธรรมะ

และเมื่อได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสบอกธรรมะแล้ว ก็ได้ปัญญาเห็นธรรม

จิตอันประกอบด้วยปัญญาก็ล่วงเข้าไปสู่ประตูของธรรมะได้ เห็นธรรมได้

 

แม้ผู้ปฏิบัติในปัจจุบันนี้ พิจารณาดูแล้วก็เช่นเดียวกัน

ลำพังปัญญาของตนเองยังไม่อาจที่จะล่วงประตูของธรรมะเข้าไปได้

ก็ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นสรณะคือที่พึ่ง ก็คือระลึกถึงธรรมะที่ทรงสั่งสอน

และพิจารณาไปธรรมะที่ทรงสั่งสอน น้อมเข้ามาดูที่ตนตามที่ทรงสั่งสอน

โดยอาศัยคำสั่งสอนของพระองค์ เหมือนอย่างดวงประทีปที่ส่องให้มองเห็นทาง

ก็ลืมตาดู ก็จะเห็นทาง เห็นทางดำเนินเข้าไปสู่ธรรมะ

 

เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมะที่เป็นสาวกภูมิ ภูมิแห่งพระสาวกทุกท่าน

ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนปัจจุบัน จึงต้องอาศัยประทีปที่พระพุทธเจ้าทรงส่องให้มองเห็นทาง

และผู้ปฏิบัติทุกคนก็มีดวงตา เมื่อลืมตาขึ้นก็จะเห็นทางปฏิบัติได้ และก็ดำเนินไปได้

แต่ทั้งนี้ก็จะต้องปฏิบัติให้ดวงตาที่จะมองเห็นทางนี้เป็นดวงตาที่แจ่มใส

และเป็นดวงตาที่ลืมตามองดู และดวงตาที่แจ่มใส และลืมตามองดูนั้น

ก็จะต้องเป็นดวงตาที่ได้ชำระล้างจากเครื่องปกปิดทั้งหลาย

ด้วยสติปัฏฐาน ด้วยโพชฌงค์มาโดยลำดับ และเมื่อผ่านสติปัฏฐานผ่านโพชฌงค์แล้ว

จึงจะมองเห็นทางเข้าประตูของธรรมะได้

 

พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้โดยปริยายเป็นอันมาก

ว่าขันธ์ ๕ นั้นแต่ละข้อมีลักษณะเป็นอย่างนี้ๆ

ความเกิดขึ้นของขันธ์ ๕ เป็นอย่างนี้ๆ ความดับของขันธ์ ๕ เป็นอย่างนี้ๆ

เพราะฉะนั้นตามที่ทรงสั่งสอนไว้นี้ ต้องอาศัยสติที่ระลึกได้ว่าทรงสั่งสอนไว้อย่างนี้ๆ

และก็น้อมเข้ามาดูที่ตน เป็นธัมวิจัยที่ตน เลือกเฟ้นธรรมที่ตน

ให้รู้ว่าที่ว่าเป็นอย่างนี้ๆนั้น คืออย่างไหนบ้าง อย่างไหนบ้าง

 

ทุกขสัจจะ ๓ ประการ

 

เพราะฉะนั้นเมื่ออาศัยพระพุทธเจ้าทรงเป็นมัคคุเทศก์คือผู้นำทาง

ชูดวงประทีปส่องให้มองเห็นทางดั่งนี้ จึงปฏิบัติเข้าสู่ทางได้

เห็นทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ตามที่ตรัสสอนไว้ได้ ว่าเป็นทุกข์อย่างนี้ๆ

ซึ่งลักษณะของความที่จะเป็นทุกข์อย่างนี้ๆนั้น ท่านพระสารีบุตรได้แสดงสรุปเข้ามาเป็น ๓

คือ ทุกขทุกขตา ความเป็นทุกข์คือทุกข์ สังขารทุกขตา ความเป็นทุกข์คือสังขาร

วิปรินามทุกข์ ความเป็นทุกข์คือวิปรินามะ

 

ข้อแรกพิจารณาเมื่อพิจารณาดูแล้ว ก็จะทำให้เข้าใจได้ว่าความเป็นทุกข์คือทุกข์นั้น

ก็ได้แก่ความเป็นทุกข์คือทุกข์ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอาไว้นั้นเอง

ว่าความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์เป็นต้น

สรุปลงก็คือขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเป็นทุกข์

นี้คือ ทุกขทุกขตา ความเป็นทุกข์คือทุกข์

จึงมาถึงข้อ ๒ สังขารทุกขตา ความเป็นทุกข์คือสังขาร

ก็คือสรุปเข้าทั้งหมดได้ในคำเดียวว่า สังขาร คือสิ่งผสมปรุงแต่ง

ความผสมปรุงแต่ง สิ่งผสมปรุงแต่ง เรียกว่าเป็นสังขารทั้งหมด

และสิ่งที่ผสมปรุงแต่งทั้งสิ้นไม่ว่าอะไรทั้งนั้น จึงเป็นทุกข์ทั้งหมด

ความผสมปรุงแต่งก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นทุกข์ทั้งหมด

 

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสแสดง

เมื่อชี้แจงจำแนกทุกข์เป็นอย่างๆไปตามอาการที่ปรากฏแล้ว

จึงได้รวมเข้ามาในขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ

ตัวขันธ์ ๕นั้น ก็เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น รูปก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง

ข้ออื่นๆก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง จึงรวมเข้าในคำว่าสังขารทั้งหมด

แม้อุปาทานความยึดถือ ก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง ก็รวมเข้าในสังขารทั้งหมด

เพราะฉะนั้น ความเป็นทุกข์ก็คือสังขาร คือสิ่งผสมปรุงแต่ง

 

สังขตลักษณะ

 

คราวนี้เพื่อจะชี้ให้ชัดว่าเป็นทุกข์อย่างไร

จึงมาถึงข้อ ๓ ความเป็นทุกข์คือ วิปรินามะ ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ก็เพราะว่าขึ้นชื่อว่าสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งดังที่แสดงไว้ในข้อ ๒ นั้น

ย่อมมีลักษณะของสิ่งผสมปรุงแต่งอันเรียกว่า สังขตลักษณะ เป็น ๓ คือ

อุปาโทปัญญายติ ความเกิดขึ้นปรากฏ

วโยปัญญายติ ความเสื่อมสิ้นไปปรากฏ

ข้อ ๓ ฐิตัสสะ อัญญะถัตตัง ปัญญายติ เมื่อยังตั้งอยู่

ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ คือความเป็นอย่างอื่นปรากฏ

 

เพราะฉะนั้น สังขารซึ่งต้องประกอบด้วยลักษณะทั้ง ๓ นี้

จึงรวมเข้าในคำว่า วิปรินามะ คือความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป

เกิดแล้วก็เสื่อมสิ้น ดับ นี่ก็เป็นความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง

ถ้าไม่แปรปรวนเปลี่ยนแปลง เกิดแล้วก็ต้องไม่เสื่อมสิ้น ไม่ต้องดับ

แต่เพราะเกิดแล้วก็ต้องเสื่อมสิ้น จึงชื่อว่าแปรปรวนเปลี่ยนแปลง

และเมื่อตั้งอยู่ก็เป็นอย่างอื่นไปเรื่อยๆปรากฏ เช่นเมื่อเกิดมาเป็นเด็ก

ก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงจากความเป็นเด็กเล็ก เป็นเด็กใหญ่ขึ้นมา เป็นหนุ่มเป็นสาว

เป็นผู้ใหญ่เป็นคนแก่ จนถึงแตกสลายในที่สุด

ความเป็นอย่างอื่นนี้มีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีหยุด ตั้งแต่เกิดจนถึงดับ

 

เพราะฉะนั้น จึงได้ตรัสเอาไว้ว่า เมื่อยังตั้งอยู่ก็มีความเป็นอย่างอื่นปรากฏ

รวมเข้าทั้งหมดแล้วก็เข้าในคำว่า วิปรินามะ ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง

ซึ่งเป็นข้อที่ ๓ วิปรินามทุกขตา ความเป็นทุกข์คือวิปรินามะความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง

ท่านพระสารีบุตรสรุปทุกข์ทั้งหมดเข้าเป็น ๓ ทุกข์ ดั่งนี้

 

ความหลงยึดถือด้วยอุปาทาน

 

ขันธ์ ๕ นี้ อันเป็นอุปาทานขั้นธ์ ขันธ์เป็นที่ยึดถือก็ประกอบด้วยทุกข์ทั้ง ๓ นี้

คือเป็น ทุกขทุกข์ เป็น สังขารทุกข์ เป็น วิปรินามทุกข์

แต่เพราะบุคคลยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง

จึงมีโมหะคือความหลงยึดถือด้วยอุปาทาน คือความยึดถือ

ว่านี่เป็นของเรา เราเป็นนี่ นี่เป็นอัตตาตัวตนของเรา

 

และสิ่งที่ยึดถือนี้ ก็มีคำเรียกสั้นอีกคำหนึ่งว่า อุปาทิ

ซึ่งอุปาทินี้ข้อแรกก็คือ ขันธุปาทิ อุปาทิคือขันธ์

คำว่าอุปาทิก็คือสิ่งที่เข้ายึดถือด้วยอุปาทาน เมื่อเข้ายึดถือด้วยอุปาทานในสิ่งใด

สิ่งนั้นก็เป็นอุปาทิขึ้นมา เป็นสิ่งที่เข้ายึดถือ

เพราะฉะนั้นเมื่อเข้ายึดถือสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่านี่เป็นของเรา

จึงเท่ากับว่ายึดถือทุกข์ว่าเป็นของเรา เราจึงต้องเป็นทุกข์

เข้ายึดถือตัวเราว่าเป็นสิ่งนี้ ตัวเราที่ยึดถือนี้จึงต้องเป็นอุปาทิ แล้วก็เป็นทุกข์

เข้ายึดถือว่าสิ่งนี้เป็นอัตตาตัวตนของเรา จึงได้เกิดอัตตาตัวตนที่เป็นตัวทุกข์ขึ้น

 

เพราะฉะนั้นเมื่อยังมีอุปาทานความยึดถือ และมีอุปาทิสิ่งที่ยึดถือกันอยู่ดั่งนี้ จึงไม่พ้นทุกข์ได้

และก็ทำให้ไม่มองเห็นว่าเป็นทุกข์ เมื่อมองไม่เห็นว่าเป็นทุกข์จึงยึดถือทุกข์ จึงต้องเป็นทุกข์

เมื่อสิ่งที่เป็นทุกข์นี้เกิด ก็ยึดว่าเราเกิด แก่ก็ยึดถือว่าเราแก่ ตายก็ยึดว่าเราตาย

จึงต้องมีโสกะความโศก ปริเทวะความรัญจวนคร่ำครวญใจ มีไม่สบายกายไม่สบายใจ

มีคับแค้นใจ ต้องมีพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่นัก ต้องมีประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก

ต้องมีปรารถนาไม่สมหวัง ก็เพราะมีตัวปรารถนา ซึ่งเป็นตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก

ประกอบกับอุปาทานคือความยึดถือดังที่กล่าวมา เป็นอุปาทานอุปาทิขึ้นมา

จึงต้องเป็นทุกข์และไม่พ้นทุกข์ได้

 

เพราะเหตุว่าไม่เห็นทุกข์

 

และไม่มองเห็นว่าเป็นทุกข์ เมื่อไม่มองเห็นว่าเป็นทุกข์ก็ยังยึดถือทุกข์อยู่

ไม่ปล่อยทุกข์ เหมือนอย่างเมื่อกำก้อนถ่านไฟไว้ในมือ ไฟก็ไหม้มือร้อน

แต่ก็ไม่เห็นว่าได้กำก้อนถ่านไฟไว้ ก็ยังกำอยู่นั่นเอง แล้วก็ร้องกันว่าร้อนอยู่..ร้อน

แต่ก็ไม่ปล่อยก้อนถ่านไฟ ก็ไม่พ้นจากความร้อนได้ อันนี้ก็เพราะเหตุว่าไม่เห็นทุกข์

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้เห็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ไว้ด้วยปริยายคือทางเป็นอันมาก

จึงต้องอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ คือเอาธรรมะที่ทรงสั่งสอนนี้มาระลึกตรวจตราพิจารณา

ให้มีสติอยู่ในธรรมที่ทรงสั่งสอนเสมอ และนำเข้ามาดูที่ตน ให้มองเห็นขันธ์ ๕ ที่ตน

ให้มองเห็นทุกข์ที่ตน และเมื่อเป็นดั่งนี้ทุกข์ก็จะปรากฏขึ้นโดยลำดับ

ก็จะเห็นทุกข์ขึ้นโดยลำดับ และก็จะปล่อยวางทุกข์ขึ้นโดยลำดับ

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

 

ความดับทุกข์

ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

 *

เมื่อเห็นชอบจึงเป็นวิญญูคือผู้รู้ ๓

ปัญญา ศีล สมาธิ ๔

ตัณหาคือเหตุให้เกิดทุกข์ ๕

ทางบังเกิดขึ้นของตัณหา ๖

เมื่อยังไม่ปฏิบัติให้เกิดปัญญา ๗

ทุกข์คือต้องเกิดดับ ๘

ความดับตัณหา ๘

ความดับทุกข์ ๙

การปฏิบัติในไตรสิกขาต้องให้ถึงปัญญา ๑๐

คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์

ม้วนที่ ๑๒๓/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๒๓/๒ ( File Tape 95 )

อณิศร โพธิทองคำ

บรรณาธิการ

ความดับทุกข์

ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต

ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง

เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

 

สวากขาโต ภควตาธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว

สันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง อันวิญญูคือผู้รู้พึงเห็นเอง

อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามา

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้เฉพาะตน

 

ธรรมะอันประกอบด้วยพระธรรมคุณทั้ง ๖ นี้

ย่อมรวมเข้าในสัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นของจริงของแท้ อันปรากฏที่จิตนี้เอง

และจิตนี้เมื่อมีธรรมะปรากฏขึ้นในจิตก็เรียกว่าเป็นวิญญูคือเป็นผู้รู้ คือเป็นจิตที่รู้

แต่ว่ารู้ที่ถูกต้องไม่ใช่รู้ผิดรู้หลง เป็นความรู้ที่รู้ตามพระพุทธเจ้า

ในทุกข์ ในเหตุเกิดทุกข์ ในความดับทุกข์ ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

เมื่อเห็นชอบจึงเป็นวิญญูคือผู้รู้

 

อันความรู้ตามพระพุทธเจ้านี้ ย่อมต้องอาศัยการฟัง หรือการอ่าน การท่องบ่นจำทรง

การพินิจพิจารณาที่เรียกว่าเพ่งด้วยใจ คือเพ่งพินิจ คือดู ดูธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

ดูธรรมะอันปรากฏขึ้นที่จิตและขบเจาะด้วยทิฏฐิคือความเห็นอันได้แก่ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง

เมื่อขบเจาะด้วยทิฏฐิคือความเห็น อันหมายถึงทำความเข้าใจให้ถูกต้องดั่งนี้

จึงเป็นสัมมาทิฏฐิเห็นชอบขึ้น และเมื่อเห็นชอบขึ้นจึงเป็นวิญญูคือเป็นผู้รู้

 

ฉะนั้น การอบรมจิตนี้ให้เป็นจิตเพ่งพินิจเพื่อรู้

จึงเป็นการปฏิบัติที่จะทำให้เป็นวิญญูคือเป็นผู้รู้ขึ้น รวมเข้าก็ดังกล่าว

คือรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

ได้แสดงทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ และสมุทัยสัจจะสภาพที่จริงคือสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์

มาโดยลำดับ และจึงมาถึงทุกขนิโรธความดับทุกข์ และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

ข้อปฏิบัติทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ที่เรียกสั้นว่ามรรค

 

และพระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้แล้วว่าทุกข์คืออะไร สมุทัยคืออะไร

และในข้อสมุทัยนั้นก็ได้แสดงแล้ว ได้ทรงยกเอาตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก

ขึ้นมาเป็นทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ต่างๆ และก็ได้ทรงแสดงต่อไปถึงทุกขนิโรธ

คือความดับทุกข์ ว่าคือดับตัณหา โดยสำรอกตัณหาออกได้สิ้นเชิง สละตัณหาได้สิ้นเชิง

สละคืนตัณหาได้สิ้นเชิง พ้นตัณหาได้สิ้นเชิง และไม่มีอาลัยพัวพันด้วยตัณหาทั้งหมด

ดั่งนี้คือความดับทุกข์

 

ได้ตรัสแสดงมรรคมีองค์ ๘ เป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ก็ได้แก่

สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ ก็คือญาณหยั่งรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นี้

สัมมาสังกัปปะดำริชอบ ก็คือดำริออกจากกาม ดำริไม่พยาบาท ดำริไม่เบียดเบียน

สัมมาวาจาเจรจาชอบ ก็คือเว้นจากพูดเท็จพูดส่อเสียดพูดคำหยาบพูดสำรากเพ้อเจ้อ

สัมมากัมมันตะการงานชอบ ก็คือเว้นจากการฆ่า เว้นจากการลัก

เว้นจากประพฤติผิดในกาม หรือเว้นจากอพรหมจริยกิจ

สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ ก็คือละมิจฉาอาชีพ ประกอบสัมมาอาชีพ

สัมมาวายามะเพียรชอบ ก็คือเพียรระวังบาปที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว

เพียรทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เพียรรักษากุศลที่เกิดแล้วให้ตั้งอยู่ และปฏิบัติให้บริบูรณ์ต่อไป

สัมมาสติ ระลึกชอบก็คือระลึกกำหนดกายเวทนาจิตธรรม อันเรียกว่าสติปัฏฐาน

สัมมาสมาธิตั้งใจชอบ ก็คือตั้งใจอยู่ในกุศลธรรมทั้งหลาย ด้วยทำจิตใจให้สงบจากกาม

และอกุศลธรรมทั้งหลาย โดยปฏิบัติให้เป็น ขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ

อุปจารสมาธิ สมาธิที่เฉียดเข้าไปใกล้ที่จะตั้งมั่นแน่วแน่

จนถึง อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่น

 

ปัญญา ศีล สมาธิ

 

มรรคมีองค์ ๘ นี้ ย่อเข้าก็เป็น สีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา

โดยที่ตรัสแสดงปัญญาสิกขาก่อน

คือสัมมาทิฏฐิเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะดำริชอบ ก็เป็นปัญญาสิกขา

จากนั้นทรงแสดงสีลสิกขา คือสัมมาวาจาเจรจาชอบ

สัมมากัมมันตะการงานชอบ สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ

แล้วจึงทรงแสดงจิตสิกขา คือสมาธิ ได้แก่สัมมาวายามะเพียรชอบ

สัมมาสติ สติระลึกชอบ สัมมาสมาธิ สมาธิตั้งใจตั้งมั่นชอบ ดั่งนี้

 

อริยสัจจ์ทั้ง ๔ นี้ อันวิญญูคือผู้รู้พึงเห็นเอง และเห็นได้

เมื่อเป็นวิญญูคือเป็นผู้รู้ ด้วยปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ นั้น โดยไม่จำกัดกาลเวลา

และวิญญูคือผู้รู้นี้เองได้เรียกตนเองนี่แหละให้มาดู ให้มาดูสัจจะทั้ง ๔ นี้

และวิญญูคือผู้รู้นี้เองที่น้อมเข้ามา คือน้อมจิตมารู้สัจจะ หรือน้อมสัจจะเข้าสู่จิต

และวิญญูคือผู้รู้นี้เองที่รู้จำเพาะตน จิตนี้เองจะพึงเป็นวิญญูคือเป็นผู้รู้

และเมื่อเป็นดั่งนี้ธรรมคุณทั้งหมดนี้ก็มาปรากฏขึ้นที่จิตนี้

ก็คือสัจจะทั้ง ๔ นั้นเอง จิตนี้เองจะเป็นผู้รู้จักทุกข์

 

ตัณหาคือเหตุให้เกิดทุกข์

 

เพราะทุกข์ทั้งปวงนั้นย่อมปรากฏอยู่ที่กายและใจนี้เอง

และปรากฏอยู่ที่กายและใจของทุกๆคน ปรากฏอยู่ในโลกทั้งสิ้น

จิตนี้เองรู้จักตัณหาคือเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะเหตุว่าตัณหานี้ย่อมปรากฏขึ้นที่จิต

คือจิตนี้เองดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในสิ่งที่เป็นทุกข์ทั้งหลาย

ที่มาปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ โดยที่เมื่อตาเห็นรูปอะไร เสียง..หูได้ยินเสียงอะไร

จมูกได้ทราบกลิ่นอะไร ลิ้นได้ทราบรสอะไร กายได้ถูกต้องโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องอะไร

มโนคือใจได้รู้ได้คิดเรื่องอะไร

 

จิตก็ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ

ในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในโผฏฐัพพะ และในเรื่องราวที่มาต่อเข้ากับตาหูเป็นต้นนั้น

และจิตนี้เองก็ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในความรู้ต่างๆของจิตที่ปรากฏขึ้นเป็นอันดับ

คือในความรู้ที่ปรากฏเป็นการเห็นการได้ยิน การได้ทราบ การได้รู้ได้คิด

และจิตนี้เองก็ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในสัมผัสคือสิ่งที่มากระทบจิต

ก็ได้แก่อายตนะภายนอกอายตนะภายในดังกล่าว

 

ประกอบกับความรู้ของจิตที่เป็นตัวเห็นตัวได้ยินนั้น อันเรียกว่าวิญญาณ

ก็มาเป็นสัมผัสกับจิต จิตก็ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในสัมผัสนั้น

ก็มาปรากฏเป็นความรู้ของจิตที่ยิ่งขึ้นเป็น รู้เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นกลางๆไม่ทุกข์ไม่สุข

อันเรียกว่าเวทนา จิตก็ดิ้นรนกระสับกระส่ายไปในเวทนา

แล้วมาปรากฏเป็นสัญญาคือความรู้จำ จำรูปจำเสียงจำกลิ่นจำรสจำโผฏฐัพพะ

จำเรื่องราวเหล่านั้นได้ จิตก็ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในความจำเหล่านั้น

แล้วมาปรากฏเป็นตัวความคิดปรุงหรือปรุงคิดต่างๆ

จิตก็ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในตัวความคิดปรุงหรือปรุงคิดเหล่านั้น

จึงมาปรากฏเป็นตัณหาขึ้นเต็มรูปเป็นความดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในรูปเป็นต้น

จิตก็ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปกับตัณหาเหล่านั้น

แล้วก็มาปรากฏเป็นวิตกความตรึกนึกคิดต่อไป เป็นวิจารความตรองต่อไป

จิตก็ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในวิตกวิจารเหล่านั้น

 

ทางบังเกิดขึ้นของตัณหา

 

เมื่อพิจารณาดูแล้วก็จะจับทางบังเกิดขึ้นของตัณหา คือความดิ้นรนทะยานอยาก

คืออาการที่จิตดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปเป็นตัณหาชนิดต่างๆ

เริ่มมาจากตาหูเป็นต้นที่มาประสบกับรูปเสียงเป็นต้น

มาเป็นอาการรู้ของจิตต่างๆดังที่กล่าวมา

 

ถ้าหากว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้ตัณหาก็ไม่ปรากฏขึ้นมาได้

ต่อเมื่อมีสิ่งเหล่านี้เช่นว่าตาเห็นรูปหูได้ยินเสียง ตัณหาจึงปรากฏขึ้นมาได้

ทั้งนี้ก็เพราะว่า ตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากนั้น

เป็นสิ่งที่ไปกับนันทิคือความเพลิดเพลิน ราคะคือความติดใจยินดี

มีความเพลิดเพลินยินดียิ่งขึ้นในอารมณ์นั้นๆ ในสิ่งนั้นๆ

ซึ่งมีทางบังเกิดขึ้นดังที่กล่าวมานั้น

 

เมื่อพิจารณาดูแล้วก็จะเห็นได้ว่า

ความเกิดขึ้นของตัณหานั้นย่อมตั้งต้นมาตั้งแต่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ

กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมะคือเรื่องราวที่มาประจวบกันของทุกๆคน

เรียกว่าเป็นต้น แล้วก็แล่นเข้ามาเหมือนอย่างไฟฟ้าที่แล่นไปตามสายไฟฟ้า

ตัณหาก็เช่นเดียวกันย่อมแล่นไปตามสายของวิถีจิต

อันเริ่มมาตั้งแต่ตาหูรูปเสียงเป็นต้นดังกล่าวโดยลำดับ

และปรกตินั้นสามัญชนทุกคนย่อมมีตัณหา คือความดิ้นรนทะยานอยากของจิตใจ

เชื่อมต่อกันอยู่ดั่งนี้ และบรรดาสิ่งที่เชื่อมต่อเหล่านี้ตั้งต้นแต่ตาหูรูปเสียงเป็นต้นดังกล่าวนั้น

ก็รวมอยู่ในทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์นั่นแหละ

 

เมื่อยังไม่ปฏิบัติให้เกิดปัญญา

 

แต่ว่าเมื่อยังไม่ปฏิบัติในมรรคให้เกิดปัญญา

จิตนี้ยังเป็นจิตที่ยังมีหลง ถือเอาผิด ยังเป็นจิตที่ยังมีอวิชชา ยังมีโมหะ

ฉะนั้นจึงได้หลงติดหลงหลงยินดี มีตัณหาวิ่งไปอยู่ในทุกข์ทั้งหลาย

และเมื่อตัณหาวิ่งไปอยู่ในทุกข์ทั้งหลาย ตัณหานี้เองก็ยึดถือในสิ่งเหล่านี้ไปด้วย

ว่าเป็นเราเป็นของเราเป็นตัวตนของเรา และเมื่อยึดถือดั่งนี้ย่อมยึดถือในทางฝืนธรรมดา

เพราะว่าธรรมดาของสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ก็คือเกิดขึ้นดับไป แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป

มิใช่เป็นตัวเรา มิใช่เป็นของเรา ดังที่เรียกว่าอนิจจะคือไม่เที่ยงต้องเกิดดับ

ทุกขะคือเป็นทุกข์ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป

และเป็นอนัตตา มิใช่เป็นตัวตน ไม่ควรจะยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา

 

แต่เมื่อตัณหาบังเกิดขึ้นก็ยึดถือ

ต้องการให้เที่ยง ต้องการให้ไม่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป

ต้องการให้เป็นตัวเราของเรา เป็นการฝืนคติธรรมดา

ฉะนั้นเมื่อสิ่งทั้งหลายต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตามคติธรรมดา

จึงต้องเป็นทุกข์โศกต่างๆ เดือดร้อนต่างๆ ปรากฏเป็นทุกขเวทนาต่างๆ

ตามที่เข้าใจกันว่าเป็นตัวทุกข์ก็คือทุกขเวทนา เหมือนอย่างคนทั่วไปเข้าใจทุกขเวทนาว่าเป็นทุกข์

อาการที่แสดงออกมาก็เป็นความเศร้าโศก ร้องให้คร่ำครวญ นั่นเป็นทุกข์

 

( เริ่ม ๑๒๓/๒ ) แต่เมื่อตรงกันข้าม ประสบกับสิ่งที่เป็นที่รักต่างๆ ได้รับผลที่น่าปรารถนาพอใจ

อันมีอยู่ของกามทั้งหลาย เป็นความสดชื่น เป็นสุข เป็นการหัวเราะ เป็นการร่าเริง

ก็เข้าใจว่าเป็นสุข เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ทำให้ตัณหาเจริญมากขึ้น เติบโตมากขึ้น

ดิ้นรนไปในสิ่งที่เป็นทุกข์ทั้งหลายมากขึ้น ยึดถือมากขึ้น

 

ทุกข์คือต้องเกิดดับ

 

แต่ว่าในที่สุดนั้น สิ่งที่เป็นทุกข์ก็ต้องเป็นทุกข์ คือต้องเกิดต้องดับ

ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ต้องเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา

เพราะฉะนั้น เมื่อหัวเราะแล้วก็ต้องร้องไห้ ต้องเป็นทุกข์ในที่สุดเหมือนกันหมด

ผู้ที่เป็นวิญญูคือเป็นผู้รู้นั้นย่อมมองเห็นว่า ทั้งสิ่งที่น่าหัวเราะ ทั้งสิ่งที่น่าร้องไห้นั้น เป็นทุกข์ทั้งนั้น

เพราะทุกๆอย่างนั้น ต้องเกิดต้องดับ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ต้องไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา

 

เพราะฉะนั้นจึงไม่ยึดถือโดยที่เมื่อกำหนดได้ในความจริง

เป็นวิญญูขึ้นมาด้วยการปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ย่อเข้าในศีลในสมาธิในปัญญา

ย่อมมองเห็นสัจจะที่เป็นตัวความจริง ที่เรียกว่าวิญญูคือรู้จักทุกข์ว่าเป็นทุกข์

รู้จักตัณหาคือสมุทัยว่าเหตุเกิดทุกข์ ไม่ใช่เหตุเกิดสุข รู้จักความดับตัณหาว่าเป็นความดับทุกข์

เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้ที่วางเฉยได้ ไม่ยึดถือในสิ่งที่เป็นทุกข์ ปล่อยวางได้

 

ความดับตัณหา

 

เพราะฉะนั้น ความดับตัณหาจึงบังเกิดขึ้น

ตั้งแต่ตากับรูป หูกับเสียงเป็นต้นขึ้นมา ดับได้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นนั้น

เมื่อมาเป็นความรู้ทางใจในอารมณ์ซึ่งมาจากตากับรูปหูกับเสียงเป็นต้นนั้น

มาเป็นวิญญาณที่เป็นการเห็นการได้ยิน เป็นสัมผัส เป็นเวทนา

ที่ปรากฏเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง เป็นสัญญาจำได้หมายรู้

เป็นความคิดปรุง ปรุงคิด และเป็นตัณหาเอง เป็นวิตกเป็นวิจาร ย่อมไม่ยึดถือทั้งหมด

จึงเป็นผู้ดับตัณหาได้ ปล่อยตัณหาได้ วางตัณหาได้ พ้นตัณหาได้

ไม่อาลัยพัวพันอยู่กับตัณหา ก็คือไม่อาลัยพัวพันอยู่ในสิ่งที่เป็นทุกข์ทั้งปวง

มีตากับรูปหูกับเสียงเป็นต้นนั้น เป็นผู้รู้ รู้ที่ปล่อยได้วางได้

 

ความดับทุกข์

 

เมื่อเป็นดั่งนี้จึงเป็นความดับทุกข์

รู้ที่เป็นเหตุปล่อยวางได้มากเท่าใด ก็ดับทุกข์ได้มากเท่านั้น

รู้ที่เป็นเหตุปล่อยวางได้ในเรื่องอันใด ก็ดับทุกข์ในเรื่องอันนั้นได้

รู้และปล่อยวางได้สิบเรื่อง ก็ดับทุกข์ได้สิบเรื่อง

รู้และปล่อยวางได้มากกว่านั้น ก็ดับทุกข์ได้มากกว่านั้น

รู้และปล่อยวางได้ทั้งหมด ก็ดับทุกข์ได้ทั้งหมด

ซึ่งความรู้นี้ อันทำให้เป็นวิญญูคือผู้รู้ ย่อมเกิดจากการปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘

คือศีลสมาธิปัญญา อันหมายความว่าต้องปฏิบัติให้ถึงปัญญา

และการที่จะปฏิบัติให้ถึงปัญญาได้ ก็ต้องปฏิบัติให้ได้สมาธิ ให้ได้ศีล

คือจะต้องมีทั้งศีล ทั้งสมาธิ จึงจะถึงปัญญา

 

เหมือนอย่างมีดที่จะตัดไม้ตัดสิ่งทั้งหลาย

ก็จะต้องมีคมมีด แต่ว่าคมมีดนั้นจะมีแต่คมเท่านั้นไม่ได้ จะต้องมีตัวมีด

จะต้องมีด้ามมีดสำหรับถืออยู่พร้อม เมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะใช้คมตัดไม้

หรือตัดสิ่งที่ต้องการตัดได้ ซึ่งส่วนที่คมนั้นก็มีอยู่ที่ส่วนหนึ่งของเหล็กเท่านั้น

แต่ว่าส่วนที่เป็นตัวมีดประกอบด้วยด้ามนั้นมีเป็นอันมาก

แต่ความสำคัญของมีดอยู่ที่คมที่จะตัด แต่จะเป็นมีดขึ้นมาได้ก็ต้องมีตัวมีด

สันของมีดข้างหลังนั้นก็เป็นสันที่ทื่อ ตัดอะไรไม่ได้แต่ก็ต้องมี

ด้ามก็ตัดอะไรไม่ได้แต่ก็ต้องมี ประกอบกันเป็นมีด

 

การปฏิบัติในไตรสิกขาต้องให้ถึงปัญญา

 

ศีลสมาธิปัญญานั้นก็เช่นเดียวกัน

สมาธินั้น ถ้าลำพังสมาธิก็ได้แต่สงบ หรือสะกดกิเลสไว้

จะตัดกิเลสไม่ได้ เหมือนอย่างสันของมีดข้างหลัง

ศีลนั้นก็เช่นเดียวกัน ก็ได้แต่สงบภัยสงบเวรทางกายทางวาจาทางใจ

ก็เท่ากับด้าม แต่ว่าก็จำเป็นที่จะต้องมีทั้งหมด

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติในไตรสิกขานั้น ต้องปฏิบัติให้ถึงปัญญา

และก็จะต้องตั้งต้นแต่ศีล จะต้องมีสมาธิ และจะต้องมีปัญญา

ต้องปฏิบัติศีลสมาธิให้ถึงปัญญา จะปฏิบัติในศีลก็ต้องให้ถึงสมาธิ

และเมื่อปฏิบัติในสมาธิก็ต้องให้ถึงปัญญา เมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะเป็นเครื่องตัดกิเลสได้

จะทำให้เป็นวิญญูคือเป็นผู้รู้ที่ปล่อยวางได้

 

เพราะฉะนั้นวิญญูคือผู้รู้รวมเข้ามาแล้ว ก็คือรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์

รู้จักความดับทุกข์ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

เมื่อปฏิบัติให้เป็นวิญญูขึ้นมาดั่งนี้ พระธรรมคุณจะปรากฏครบทุกบท

จะได้ความรู้ขึ้นว่า โอหนอพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้จริง

โอหนอพระธรรม พระธรรมเป็นสัจจะคือเป็นความจริง

โอหนอพระสงฆ์ พระสงฆ์เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีจริง

คือเป็นผู้ปฏิบัติให้เป็นวิญญูขึ้นมา จึงจะเป็นพระสงฆ์ที่ถูกต้อง

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

*

 

ดาวน์โหลดตัวอักษร (ฟ้อนต์) ทิเบตทั้ง ๓ แบบ เพื่อความสมบูรณ์ในการชมเว็บ

actisan.ttf

adtibet.ttf

atibet.ttf


uptime alert service

website monitor

View My Stats