ถอดเทปพระธรรมเทศนา

  • พิมพ์

เทป007

จิตที่มีศีล สมาธิ ปัญญา

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

ลักษณะที่เรียกว่าศีล ๓

ธรรมชาติของจิต ๕

ปาฏิหาริย์ ๓ ๗

ความสงบในขั้นสมาธิ ๙

คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความขาดนิดหน่อย

ม้วนที่ ๘/๒ ครึ่งหลัง ต่อ ๙/๑ ( File Tape 07 )

อณิศร โพธิทองคำ

บรรณาธิการ

จิตที่มีศีล สมาธิ ปัญญา

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต

ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง

เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงชี้ตรงเข้ามา ถึงจุดสำคัญแห่งการปฏิบัติธรรมะ

คือจิต หรือจิตใจ ได้ตรัสไว้ในพระธรรมบทซึ่งแปลใจความว่า

จิตดิ้นรนกวัดแกว่ง รักษายากห้ามยาก แต่ผู้ทรงปัญญาย่อมกระทำจิตให้ตรงได้

เหมือนอย่างช่างศรดัดไม้ที่จะทำเป็นลูกศรให้ตรงได้

ฉะนั้น ดั่งนี้ ทุกคนย่อมทราบจิตของตนเองว่าดิ้นรนกวัดแกว่งไปในอารมณ์

คือเรื่องทั้งหลายอยู่เป็นประจำ

และหากว่าจะสังเกตุดูเด็กเล็กๆที่หัดตั้งไข่ยืนขึ้นได้ เดินได้ วิ่งได้

ก็จะเห็นว่าเด็กนั้นอยากจะร้องก็ร้อง อยากจะวิ่งเมื่อไรก็วิ่ง

อยากจะเดินก็เดิน อยากจะนั่งก็นั่ง อยากจะนอนก็นอน ไม่เลือกเวลาสถานที่

อาการที่เด็กแสดงออกไปต่างๆนั้น ก็แสดงถึงความดิ้นรนกวัดแกว่งแห่งจิตของเด็กนั้นเอง

แต่เมื่อโตรู้เดียงสาขึ้นได้มีการฝึกหัดให้รู้จักรักษากิริยาวาจาเป็นต้น

เด็กก็จะค่อยๆสงบขึ้น ไม่วิ่ง ไม่เดิน ไม่นั่ง ไม่นอน ไม่ร้อง เป็นต้น เหมือนอย่างเมื่อยังเล็กๆ

ทั้งนี้มิใช่ว่าจิตของเด็กนั้นจะสงบ ก็คงดิ้นรนกวัดแกว่งอยู่นั่นเอง

แต่ว่าอาศัยการฝึกหัดกิริยาวาจาต่างๆ อันเนื่องเข้าไปถึงการฝึกหัดจิตใจ

จึงทำให้เริ่มมีสติ เริ่มมีปัญญาที่จะควบคุมยับยั้งตัวเอง มาเป็นผู้ใหญ่ๆขึ้น

ความที่มีสติปัญญาควบคุมยับยั้งตนเองก็มากขึ้น แต่ว่าจิตใจนั้นก็คงดิ้นรนกวัดแกว่งอยู่นั่นเอง

แต่ว่ามีสติมีปัญญาที่จะควบคุมยิ่งขึ้น

ถ้าหากว่าไม่มีสติปัญญาควบคุมให้ยิ่งขึ้นไปแล้ว

แม้ว่าเด็กเล็กๆนั้นจะโตขึ้นจนถึงเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ก็คงจะต้องอยากวิ่งก็วิ่ง

อยากเดินก็เดิน อยากนั่งก็นั่ง อยากพูดก็พูด อยากนอนก็นอน เหมือนอย่างเด็กเล็กๆนั้นเอง

เพราะจิตนี้ดิ้นรนกวัดแกว่งไปอย่างนั้นบ้าง ไปอย่างนี้บ้าง เช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น ถ้าสติและปัญญาของผู้ใหญ่มีน้อยเหมือนอย่างสติปัญญาของเด็กเล็กๆแล้ว

แม้จะเป็นผู้ใหญ่อายุเท่าไหร่ก็คงจะปฏิบัติเหมือนอย่างเด็กเล็กๆนั้นเอง

เพราะภาวะของจิตดิ้นรนกวัดแกว่งอยู่เช่นเดียวกัน

ลักษณะที่เรียกว่าศีล

อันนี้แสดงให้เห็นอานุภาพของสติปัญญาที่ควบคุมจิตใจ

อันได้รับการฝึกอบรมมาตั้งแต่เป็นเด็ก โดยที่มีมารดาบิดาเป็นต้นได้คอยเริ่มแนะนำ

อบรมเรื่อยมา ตลอดจนถึงครูบาอาจารย์ในโรงเรียน ตลอดมาจนถึงพระพุทธเจ้า

ซึ่งทุกคนได้มาฝึกหัดปฏิบัติตามพระธรรมที่ทรงสั่งสอน จึงรู้จักที่จะมีสติมีปัญญาควบคุมจิตใจ

ตลอดจนถึงกิริยาวาจาให้อยู่ในมรรยาท คือในขอบเขตที่งดงามเรียบร้อยเหมาะสม

อันอาการที่แสดงออกเป็นกิริยามรรยาท อันเรียบร้อยงดงาม

ไม่หลุกหลิกเหมือนอย่างเด็กเล็กๆ ดังที่กล่าวนั้น คือลักษณะของสิ่งที่เรียกว่าศีล

ที่แปลตามศัพท์ว่าความเป็นปรกติก็คือความเรียบร้อย

แต่ว่ามักจะอธิบายศีลกันว่าคือความงดเว้นต่างๆ จากการแสดงกิริยาทางกายทางวาจา

ที่ไม่เรียบร้อยดีงาม ตลอดจนถึงงดเว้นจากความประพฤติที่ไม่ดีไม่ชอบทางกายทางวาจา

อันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่นให้เดือดร้อน ดังที่มีแสดงว่างดเว้นจากการฆ่าเขาบ้าง

การลักของเขาบ้างเป็นต้น น้อยข้อบ้างมากข้อบ้าง ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้

สำหรับบุคคลผู้ที่มีวัย มีอายุ และมีเจตนาต่างๆกันจะพึงรับปฏิบัติ

เช่นเมื่อเข้ามาบวช เมื่อเป็นเด็กๆบวชเป็นเณรก็ปฏิบัติอยู่ในศีลของเณร

อายุมากเข้าเป็นภิกษุก็ปฏิบัติอยู่ในศีลของภิกษุเป็นต้น

ซึ่งเมื่อรวมความเข้ามาแล้วก็คือการที่รักษากิริยากายวาจาให้เป็นปรกติ

ดังจะเห็นได้ว่าอันกิริยากายวาจาที่เป็นปรกตินั้น

เมื่อเข้ามานั่งปฏิบัติเป็นสมาธิอยู่นี้ก็สำรวม ไม่เอนกายไปเอนกายมา

ไม่ยกมือขึ้นไม่ยกมือลงไม่หันหน้าไปทางซ้ายไม่หันหน้าไปทางขวา

ไม่พูดซุบซิบๆคุยกัน เหล่านี้เป็น ซึ่งเป็นอาการกิริยากายวาจาที่เป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม

ตลอดจนถึงไม่เล่นซุกซนอย่างเด็ก เพราะเมื่อเด็กตอนบวชก็ซุกซน

แต่เมื่อเข้ามาบวชแล้วแม้จะเป็นเณรเล็กๆก็ต้องสำรวมกิริยากาย กิริยาวาจา ไม่เล่นต่างๆ

ตลอดจนถึงเลิกสนุก หรือเล่นรังแกร่างกายชีวิตสัตว์เล็กๆน้อยๆ เช่นบี้มดเล่น ตบยุง

อะไรเหล่านี้เป็นต้น ต้องงดเว้นทั้งหมด ให้กิริยากายวาจาสงบเรียบร้อยดีงาม

ดั่งนี้แหละคือศีล ซึ่งเป็นการควบคุมกายวาจานี้เอง

และโดยตรงนั้นก็คือควบคุมจิตใจ โดยที่เริ่มรู้เดียงสา

ความรู้เดียงสานั้นก็คือตัวสติตัวปัญญานั้นเองที่เริ่มบังเกิดขึ้นมา

ในอันที่จะมีจิตอันประกอบด้วยสติประกอบด้วยปัญญา

สำหรับที่จะควบคุมกิริยากายวาจาของตนเองให้เป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม

อันนี้คือตัวศีล ซึ่งมีลักษณะเป็นอันเดียว

ถ้าหากว่าควบคุมกิริยากายวาจาโดยที่มีจิตใจรู้เดียงสา คือว่ามีตัวสติมีตัวปัญญาดังที่กล่าวนั้น

ควบคุมจิตใจได้ ให้เป็นปรกติเรียบร้อยดีงามแล้ว กายวาจาก็ย่อมจะเป็นปรกติ

และเมื่อกายวาจาตลอดจนถึงจิตใจเป็นปรกติเรียบร้อยดีงามแล้วก็เป็นอันว่าเป็นตัวศีล

ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องนับข้อว่าเป็นศีลห้า เป็นศีลแปด เป็นศีลสิบ เป็นศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด

เพราะศีลทั้งหมดนั้นรวมอยู่ในตัวความปรกติเรียบร้อยดีงามทั้งกาย ทั้งวาจา และทั้งจิตใจนี้เอง

ฉะนั้นจึงต้องอาศัยจิตนี้เองที่จะต้องฝึก จะต้องดัด จะต้องอบรม

ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้ทรงปัญญาย่อมกระทำจิตให้ตรง

คือไม่ให้ดิ้นรน ไม่ให้กวัดแกว่ง เหมือนอย่างช่างศรดัดไม้ที่จะทำเป็นลูกศรให้ตรง

อันการดัดไม้นั้นต้องอาศัยความร้อน ลนไฟดัด

และก็ด้วยมีภาษิตของไทยเรากล่าวไว้ว่า ไม้อ่อนดัดง่าย แต่ไม้แก่ดัดยาก

ถ้าเทียบอย่างบุคคลดัดตั้งแต่เป็นเด็กๆ ย่อมดัดง่ายเพราะเด็กเหมือนอย่างไม้อ่อน

แต่ผู้ใหญ่นั้นอาจจะดัดยากขึ้น

ธรรมชาติของจิต

แต่อันที่จริงนั้นเมื่อมาถึงพระพุทธศาสนา อันแสดงถึงจิตเป็นส่วนสำคัญในการฝึกอบรม

อันธรรมชาติของจิตนั้นจะเป็นของเด็กของผู้ใหญ่ ก็เป็นสิ่งที่มีลักษณะเช่นเดียวกัน

คือเป็นสิ่งที่ดัดได้ด้วยกันทั้งนั้น จิตของเด็กก็ดัดได้ จิตของผู้ใหญ่ก็ดัดได้

แต่ว่าอาจจะมียากกว่ากันตรงที่ว่า เป็นผู้ใหญ่นั้นได้มีความเคยชิน

ในความประพฤติต่างๆมากขึ้น และมีทิฏฐิมานะของตัวเองมากขึ้น

จึงทำให้บังเกิดความดื้อด้านในอันที่จะรับอบรมยากขึ้นเท่านั้น

แต่ก็สามารถที่จะทำลายหรือกำจัดความดื้อด้าน ความประพฤติเคยชินต่างๆได้

ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงดัดได้ทรงทรมานบุคคลต่างๆตามเรื่องที่ได้มีแสดงไว้ในที่ต่างๆ

ดังเช่น เมื่อพระองค์เสด็จไปโปรดพวกบุราณชฎิล

คือคณะฤษีโยคีคณะหนึ่ง ซึ่งนับถือการบูชาไฟ มีจำนวนหนึ่งพันรวมกัน

โดยที่มีฤษีโยคีสามพี่น้องเป็นหัวหน้าแยกกันอยู่

พระพุทธองค์ต้องทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์ทำลายทิฏฐิมานะของท่านชฎิลเหล่านั้นเสียก่อน

เพราะท่านชฎิลเหล่านั้นมีทิฏฐิมานะว่าตนเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ยอมรับ

ที่จะฟังคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะถือตัวว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นคณาจารย์ใหญ่

มีแต่ผู้อื่นมาฟังคำสั่งสอนของตน ตนไม่อยู่ในฐานะที่จะฟังคำสั่งสอนของใครเสียแล้ว

จึงต้องทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ทำลายทิฏฐิมานะอันผิดของท่านเหล่านั้น

และท่านก็มีแสดงไว้ว่า เมื่อทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ไปทีแรก

ท่านชฏิลที่เป็นหัวหน้าท่านก็คิดว่า ท่านสมณะผู้นี้เก่งแต่ก็ยังสู้เราไม่ได้ เราเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าจึงต้องทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ไปหลายอย่างหลายประการ

จนท่านมีความสำนึกตนว่าท่านไม่ใช่เป็นพระอรหันต์

ก็เป็นอันว่าได้สงบ หรือละทิฏฐิมานะอันผิดของตน

เมื่อเป็นดั่งนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมะสั่งสอน

เพราะเมื่อท่านละทิฏฐิมานะเดิมได้แล้วก็เป็นอันว่าพร้อมที่จะฟัง

เมื่อพร้อมที่จะฟังท่านจึงทรงสั่งสอน และเมื่อได้ทรงสั่งสอนจบลงแล้ว

ท่านก็ได้ปัญญาเห็นธรรมะ ดั่งนี้

ปาฏิหาริย์ ๓

เพราะฉะนั้น วิธีสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงมีแสดงไว้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ ๓

อิทธิปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือการแสดงฤทธิ์

อาเทสนาปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือทรงแสดงดับใจ

เพราะทรงรู้ถึงอุปนิสัยวาสนาบารมีของผู้ที่จะทรงแสดงธรรมะสั่งสอน

จึงทรงแสดงธรรมะสั่งสอนให้เหมาะสมแก่อัธยาศัย นิสัยบารมีของผู้ฟังได้

และ ๓ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คืออนุสาสนี

คืออนุสาสน์สั่งสอนไปตามธรรมะที่ควรแสดงสั่งสอน

สำหรับปาฏิหาริย์ทั้งสามนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงมีอยู่อย่างสมบูรณ์

เพราะฉะนั้นจึงทรงสามารถดัดบุคคลที่ควรดัดได้ ดังพระพุทธคุณบทว่า ปุริสทัมสารถิ ...

( ข้อความขาดเล็กน้อย )

(เริ่ม ๙/๑ )...ธรรมะที่จะทรงแสดงสั่งสอน ก็ไม่เข้าไปสู่จิตใจได้

เพราะจิตใจเต็มไปด้วยทิฏฐิมานะของตน

เพราะฉะนั้นจึงได้มีเรื่องเล่าในฝ่ายมหายานเรื่องหนึ่งว่า

มีพระอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงได้เดินทางไปถึงเมืองหนึ่ง มหาอำมาตย์ของเมืองนั้นก็เข้าไปหา

ขอให้ท่านแสดงธรรม ท่านจึงเอาน้ำมาเทลงไปในปั้นน้ำชา

หรือในถ้วยน้ำชาซึ่งมีน้ำเต็มอยู่แล้ว แต่ท่านก็ยังเทน้ำลงไปในถ้วยน้ำชานั้นอยู่ต่อไป

มหาอำมาตย์ผู้นั้นจึงได้ถามขึ้นว่า ทำไมท่านจึงทำอย่างนั้น

ท่านก็ตอบว่า ก็เมื่อถ้วยนี้เต็มอยู่ด้วยน้ำแล้ว

จะเอาน้ำอื่นมาเทใส่ลงไปน้ำก็คงไม่เข้าถ้วยนั้นอยู่นั่นเอง มหาอำมาตย์นั้นก็ได้สติ

เพราะได้เข้าไปหาท่านด้วยจิตใจอันเต็มด้วยทิฏฐิมานะ ทำนองว่าจะลองภูมิหรืออะไรเป็นต้น

เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วจึงมีจิตที่อ่อนโยนลงพร้อมที่จะฟังพระพุทธเจ้า

ท่านอาจารย์จึงได้แสดงธรรมสั่งสอนต่อไป

อันนี้ก็เป็นเครื่องแสดงว่า วิธีต่างๆที่จะเป็นการระงับทิฏฐิมานะของผู้ฟัง

นี่แหละคืออิทธิปาฏิหาริย์ที่พระพุทธเจ้าจะต้องทรงกระทำก่อน

ไม่ใช่ว่าจำเป็นจะต้องแสดงฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศอะไรต่างๆ นั่นคืออิทธิปาฏิหาริย์

ไม่ใช่หมายความอย่างนั้น หมายถึงทุกวิธี จะเป็นวิธีใดก็ตาม

อันจะเป็นเครื่องที่ทำลายทิฏฐิมานะของผู้ฟังที่จะโปรด ให้ได้เสียก่อน

และเมื่อผู้ที่จะโปรดนั้นมีจิตใจอ่อนโยนพร้อมที่จะรับฟังแล้ว จึงทรงแสดงธรรม

คำว่ามีจิตใจอ่อนโยนพร้อมที่จะรับฟัง หมายถึงปราศจากทิฏฐิมานะ

และก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเชื่อก่อนฟัง ไม่ใช่หมายความอย่างนั้น

ไม่ต้องบังคับให้เชื่อก่อนฟัง เป็นแต่เพียงว่าพร้อมที่จะฟัง

พร้อมที่จะพิจารณาธรรมะที่ฟังเท่านั้น ดั่งนี้ เรียกว่าพร้อมที่จะฟังคือตั้งใจฟัง

ยังไม่ต้องเชื่อก่อน พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมะสั่งสอน

และธรรมะที่ทรงแสดงสั่งสอนนั้น ก็เหมาะแก่อุปนิสัยวาสนาบารมีของบุคคลที่ได้อบรมมา

เพราะพระพุทธเจ้ามีพระญาณหยั่งรู้ได้

เพราะฉะนั้น ข้อนี้จึงเรียกว่าเป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ดับใจได้เป็นอัศจรรย์

แล้วก็ทรงแสดงธรรมะสั่งสอนซึ่งเป็นข้อธรรมปฏิบัติต่างๆ อันเหมาะแก่วาสนาบารมีของบุคคล

ที่ได้อบรมมา ก็เป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ สั่งสอนเป็นอัศจรรย์ดั่งนี้

เพราะฉะนั้นจึงได้มีแสดงว่า พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนทุกครั้ง

ผู้ฟังจะต้องได้รับผล แม้ว่าจะไม่มากคนก็ตาม

เพราะในบางครั้งทรงมุ่งที่จะทรงสั่งสอนแก่บุคคลเพียงคนเดียวเท่านั้น

แต่ก็มีผู้อื่นฟังอยู่ร่วมกันเป็นอันมาก ผู้ที่ทรงมุ่งทรงสั่งสอนนั้นได้ฟังธรรมะ

ที่เหมาะสมแก่อัธยาศัยวาสนาบารมีของตน ก็มีความเข้าใจได้ดวงตาเห็นธรรม

แต่ว่าผู้อื่นนั้นก็ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ดังที่มีแสดงไว้เป็นอันมาก

เพราะฉะนั้นความพร้อมที่จะฟัง โดยที่ละทิฏฐิมานะมีจิตใจอ่อนโยน ดั่งนี้

จึงเป็นประโยชน์ในการที่จะฟังธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

แม้ที่ผู้อื่นนำมาแสดงอันจะเหมาะหรือไม่เหมาะแก่อุปนิสัยวาสนาบารมีของตนก็ตาม

เพราะผู้ที่แสดงนั้นก็ย่อมจะไม่มีปาฏหาริย์เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าได้

จึงต้องแสดงไปตามที่ทรงสั่งสอนไว้ ก็อาจจะเหมาะบ้างไม่เหมาะบ้างแก่อัธยาศัย

วาสนาบารมีของทุกคน แต่ว่าเมื่อตั้งใจฟังแล้วก็ย่อมจะได้ประโยชน์ มากหรือน้อย

เป็นการเพิ่มเดียงสาให้แก่จิตใจของตัวเอง คือเพิ่มสติปัญญาของตัวเองให้มากขึ้นไปโดยลำดับ

อันความที่รู้เดียงสานี้มิใช่ว่าจำเพาะเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่เองถ้าหากว่าไม่มีสติปัญญา

ที่จะควบคุมตัวเองได้อย่างเพียงพอแล้ว ก็ชื่อว่าไม่รู้เดียงสาตามสมควร

เหมือนอย่างเด็กเช่นเดียวกัน

เพราะความรู้เดียงสานั้นขึ้นอยู่แก่สติปัญญาที่ทุกคนจะต้องอบรมให้มีขึ้น

สำหรับที่จะควบคุมตัวเอง จิตใจของตัวเองให้ดีขึ้นโดยลำดับ ตั้งต้นแต่กิริยามรรยาทต่างๆ

ตลอดจนถึงจิตใจที่สามารถเว้นการที่ควรเว้น ประพฤติการที่ควรประพฤติ

อันแสดงออกทางกายทางวาจาต่างๆ อันนับเข้าอยู่ในข้อศีล ดั่งที่กล่าวมาแล้ว

แต่ว่าทั้งหมดนี้ก็ต้องเนื่องด้วยจิตใจ

ความสงบในขั้นสมาธิ

เพราะฉะนั้นจึงต้องปฏิบัติในขั้นต่อไป คือหัดที่จะทำจิตใจให้สงบได้

สงบได้นั้นก็คือว่าสงบจากความดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายนั้นเอง

ศีลนั้นนับว่าเป็นข้อปฏิบัติอันทำให้จิตใจสงบได้ในขั้นแรก

คือสงบได้จากเจตนาคือความจงใจที่จะกระทำอะไรต่างๆอันไม่เป็นปรกติ

ไม่เรียบร้อยไม่ดีงาม ตั้งแต่ขั้นธรรมดา จนถึงขั้นที่เป็นโทษเป็นผิดอย่างแรง

เป็นการผิดศีลโดยตรงที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ตั้งแต่ในขั้นศีลห้าเป็นต้น

ดั่งที่กล่าวมาแล้ว จนถึงควบคุมกายวาจาจิตให้เป็นปรกติเรียบร้อยยิ่งขึ้น

ก็เป็นอันว่าต้องอาศัยวิรัติคือความตั้งใจงดเว้นเป็นหลักสำคัญของศีล

ประกอบด้วยสติปัญญาอันเป็นความรู้เดียงสานี้ควบคุมกำกับให้มากขึ้น

และในขั้นที่ถึงจิตใจโดยตรง คือทำจิตใจให้สงบในภายในมากขึ้นนั้น

ก็คือขั้นสมาธิ คือความที่มารู้จักฝึกหัดทำจิตให้สงบอยู่ในอารมณ์อันเดียวได้

สงบจากความคิดต่างๆที่ฟุ้งซ่าน ที่คิดไปอย่างโน้นคิดไปอย่างนี้ อันเป็นความฟุ้งซ่านต่างๆ

นับรวมเข้าก็คือเป็นไปด้วยอำนาจของความอยากบ้าง ความใคร่บ้าง ความโกรธบ้าง

ความหลงบ้าง ซึ่งบังเกิดขึ้นในจิตใจ ในอารมณ์คือเรื่องทั้งหลาย

เพราะฉะนั้นก็มาหัดทำจิตให้สงบจากอารมณ์

จากความคิดฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆเหล่านั้น หัดให้จิตรวมเข้ามาอยู่ในอารมณ์อันเดียว

เหมือนอย่างว่าการที่จะฟังอะไรก็ตั้งใจฟังในเสียงที่แสดง

จะเป็นวิทยาการ หรือจะเป็นธรรมสั่งสอนดังที่แสดงอบรมอยู่นี้ก็ตาม

รวมใจเข้ามาฟังเสียงที่แสดงนี้ให้ได้ยินทุกคำ และก็พิจารณาให้เข้าใจ

ถ้าจิตใจฟุ้งออกไปข้างนอก ไปคิดถึงเรื่องนั้นไปคิดถึงเรื่องนี้ต่างๆแล้วหูก็ดับ

เมื่อหูดับใจก็ดับ สติก็ดับปัญญาก็ดับ เพราะไม่ได้ยินถ้อยคำที่แสดงนั้น

จะอ่านหนังสือก็ตามก็ต้องรวมใจเข้ามาอ่าน คือลูกตาที่ดูหนังสือกับใจ

จะต้องอ่านหนังสือพร้อมกัน จะอ่านแต่ตา ใจไม่อ่านก็ย่อมไม่รู้เรื่อง อ่านไม่รู้เรื่อง

หรือว่าจะหลับตาเสียไม่ดูตัวหนังสือ จะให้ใจอ่าน ก็มองไม่เห็นไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน

จึงต้องลืมตาดูหนังสือ แล้วใจก็ต้องตั้งฟัง และใจก็ต้องตั้งอ่าน

ให้ตากับใจอ่านหนังสือไปพร้อมกัน เมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว จึงจะอ่านหนังสือรู้เรื่อง

ในการฟังก็ต้องให้หูก็ฟังใจก็ฟัง หูกับใจต้องฟังพร้อมกับหู จึงจะฟังรู้เรื่อง

ใจที่ตั้งดั่งนี้คือใจที่เป็นสมาธิ

เพราะฉะนั้นการหัดทำใจให้เป็นสมาธิได้ในสิ่งใด ย่อมจะได้ปัญญาคือความรู้ในสิ่งนั้น

เมื่อมีสมาธิอยู่ในการอ่านหนังสือ ก็จะได้ปัญญาคือความรู้ในหนังสือที่อ่าน

เมื่อมีสมาธิในการฟัง ก็ย่อมจะได้ปัญญาคือรู้เรื่องที่ฟัง

และเมื่อมีสมาธิอยู่ในนามรูปอันเป็นที่ตั้งของปัญญา ก็ย่อมจะได้ปัญญาในนามรูป

จะรู้ไตรลักษณ์คือความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตาในนามรูปดั่งนี้

เพราะฉะนั้น ความควบคุมใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

และโดยเฉพาะย่อมจะควบคุมกายวาจาให้เป็นศีลได้ และทำให้ได้สมาธิ ทำให้ได้ปัญญา

ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจทำความสงบตั้งใจฟัง และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

*

ธัมมานุปัสสนา

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์

ม้วนที่ ๙/๑ ต่อ ๙/๒ ( File Tape 07 )

อณิศร โพธิทองคำ

บรรณาธิการ

ธัมมานุปัสสนา

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต

ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง

เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

การปฏิบัติพุทธศาสนาต้องปฏิบัติให้ถึงจิต

จึงจะประสบผลและก้าวหน้าไปสู่ความสิ้นทุกข์ได้โดยลำดับ

การปฏิบัติให้ถึงจิตนั้นก็ต้องตั้งต้นตั้งแต่ขั้นฐานขั้นศีล สืบถึงขั้นสมาธิขั้นปัญญา

อันรวมความว่าให้เข้าทางแห่งอริยมรรคที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้

หรือว่าเข้าทางบารมีทั้งสิบที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญ

การปฏิบัติเข้าทางบารมีนั้นก็ตั้งต้นแต่ทาน การให้ การบริจาค

ต้องปฏิบัติให้ถึงจิต คือให้จิตสละ โลภะ มัจฉริยะ ให้จิตบริสุทธิ์

แม้จะให้น้อยก็ตาม เมื่อจิตบริสุทธิ์ก็ชื่อว่ามาก ให้มากถ้าจิตไม่บริสุทธิ์ก็ชื่อว่าน้อย

จิตที่บริสุทธิ์นั้นก็หมายถึง มิใช่ให้เพื่อเพิ่มโลภะ แต่ว่าให้เพื่อที่จะชำระโลภะความโลภอยากได้

มัจฉริยะความหวงแหนตระหนี่เหนียวแน่น เป็นการสละจิต คือสละทางจิต

ให้จิตบริสุทธิ์ดังกล่าว เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ชื่อว่าจิตประณีต

จะให้เพียงนิดหน่อยเมื่อจิตประณีตวัตถุที่ให้นั้นก็ประณีต จึงได้ผลมาก

และผลมากที่ได้นั้นก็หมายถึงผลทางจิตใจ คือความบริสุทธิ์นั้นเอง

พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอริยมรรคทางมีองค์ ๘

เป็นหลักแห่งการปฏิบัติในพุทธศาสนา สรุปเข้ามาก็เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา

ศีลสมาธิปัญญาทั้ง ๓ นี้ก็ตั้งขึ้นในจิตทั้งนั้น ต้องให้จิตเป็นศีล จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นปัญญา

จิตเป็นศีลนั้นก็คือว่าจิตเป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม

ประกอบด้วยความสงบกาย สงบวาจา สงบใจ จากบรรดากิเลสอย่างหยาบ

อันจะเป็นเครื่องดึงจิตให้ก่อเจตนาก่อกรรมที่เป็นบาปอกุศลทุจริตทั้งหลาย

จิตเป็นสมาธินั้นก็คือจิตที่ตั้งมั่นอยู่ในทางที่ชอบ เป็นจิตสงบจากนิวรณ์

คือกิเลสที่บังเกิดขึ้นในใจ ทำจิตใจให้ชอบให้ชังให้หลงไปต่างๆ ในอารมณ์ต่างๆที่บังเกิดขึ้น

จึงตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ ถอนจิตจากอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของกิเลสเหล่านั้น

จึงเป็นการตั้งจิตไว้ในทางที่ชอบ และเป็นจิตที่สงบ เป็นจิตที่สว่าง เป็นจิตที่โปร่ง

มองเห็นเหตุผลที่เป็นจริง มองเห็นความจริงของสิ่งทั้งหลาย

จึงส่งขึ้นไปสู่จิตที่เป็นปัญญา ซึ่งเป็นจิตรู้จิตเห็น

เมื่อกล่าวโดยสรุปในทางธรรมปฏิบัติ

ก็เป็นจิตที่รู้ที่เห็นบาปบุญคุณโทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์ตามความเป็นจริง

เป็นจิตที่รู้ที่เห็นในทุกข์ ในสมุทัยเหตุเกิดทุกข์ ในนิโรธความดับทุกข์

ในมรรคทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ซึ่งเป็นอริยมรรคที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้

เมื่อนำตนเข้าสู่ศีลสมาธิปัญญา ให้จิตเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ดังกล่าว

ก็ชื่อว่าเดินเข้าไปในทางอริยมรรคของพระพุทธเจ้า มิใช่ดำเนินไปในทางของมาร

ถ้าเดินออกนอกทางอริยมรรค ก็ย่อมชื่อว่าดำเนินไปในทางของมาร ก็คือกิเลสมาร

อันได้แก่เดินทางไปในทางของตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก

หรือว่าในทางของราคะ ของโลภะ ความโลภอยากได้

ในทางของโทสะความโกรธแค้นขัดเคือง ในทางของโมหะความหลง

เมื่อเดินทางไปในทางของมารดังกล่าวนี้ จิตก็จะเป็นตัณหา

จิตก็จะเป็นราคะหรือโลภะ จิตก็จะเป็นโทสะ จิตก็จะเป็นโมหะ

ดั่งนี้ก็เป็นอันว่าเดินไปในทางของมาร

เพราะว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่อ่อน

อันหมายถึงน้อมไปได้ง่าย ทั้งในทางดี ทั้งในทางชั่ว

เป็นธรรมชาติที่ควรแก่การงาน ก็ได้ทั้งสองทางเช่นเดียวกัน

แต่ว่าธรรมชาติของจิตที่แท้จริงนั้น เป็นธรรมชาติที่เป็นธาตุรู้

และเป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่อง

ดังจะพึงเห็นได้ว่าเมื่อปฏิบัติให้จิตเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา จะปรากฏความผุดผ่องของจิต

คือเดินในทางอริยมรรค และจิตก็ควรแก่การงานอันหมายความว่าปฏิบัติได้

เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญายิ่งๆขึ้นไป ปฏิบัติได้ไม่ยาก ปฏิบัติได้ง่าย

แต่ถ้าหากว่าจิตดำเนินไปในทางของมาร จิตก็จะเศร้าหมอง ไม่ผุดผ่อง

แม้ว่าจะได้ผลเป็นความพอใจจากผลต่างๆ จากอารมณ์ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจต่างๆ

เป็นนันทิคือความเพลิดเพลิน เป็นความติดใจยินดี อันทำให้รู้สึกว่าเป็นสุข เป็นความสำราญ

เป็นความชื่นบานสนุกสนาน แต่ว่าอันที่จริงนั้นความเพลิดเพลินยินดีพอใจ...

( เริ่ม ๙/๒ ) ซึ่งตั้งอยู่บนความผุดผ่องอันเป็นธรรมชาติของจิต

จึงจะรู้ได้ว่าอันความสุขที่ตั้งอยู่บนความผุดผ่องอันเป็นธรรมชาติของจิตนั้น

แตกต่างจากความสุขที่ตั้งอยู่บนความเศร้าหมอง

และจะมองเห็นว่าความเศร้าหมองนั้นเอง เป็นเครื่องที่ทำให้เกิดความหลงเข้าใจผิด

ว่าเป็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลินยินดีพอใจ

เหมือนอย่างสีต่างๆที่เขียนลงไปบนแผ่นผ้าขาวที่สะอาด สีต่างๆนั้นอันที่จริงเป็นสิ่งที่เศร้าหมอง

เช่นเมื่อมีสีมาเปื้อนเสื้อผ้าที่สวมใส่ หรือของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

บุคคลจะรู้สึกว่าเป็นความสกปรก ต้องซัก ฟอก ล้าง ให้สีต่างๆนั้นหมดไป

แต่ถ้าหากว่าเอาสีนั้นเองที่เห็นว่าสกปรกไปวาดเขียนบนแผ่นผ้าขาวเป็นทัศนียภาพ

ภาพที่น่าดู ก็จะกลับเห็นตรงกันข้ามว่าน่าดูน่าพอใจ น่าเพลิดเพลิน

ในจิตรกรรมที่เขียนขึ้นนั้น ไม่เห็นว่าเป็นของสกปรก ก็มีความสุขเพลิดเพลินอยู่ในภาพนั้น

แต่อันที่จริงก็คงเป็นสีที่เขียน ซึ่งเป็นความสกปรกนั้นเอง

แต่เพราะเหตุที่เป็นทัศนียภาพ จึงทำให้เกิดความยินดีพอใจเพลิดเพลิน

ทั้งนี้ก็เพราะว่า การที่เขียนลงไปเป็นภาพ ที่เป็นทัศนียภาพ เช่นภาพต้นไม้ ภาพภูเขา

ภาพบุคคล ภาพสัตว์ต่างๆ นี่แหละคือเป็นสังขาร ที่แปลว่าส่วนผสมปรุงแต่ง

หรือสิ่งผสมปรุงแต่ง และบุคคลก็เก็บเอาสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งนั้น

มาเป็นสังขารขึ้นในจิต คือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งขึ้นในจิต

ภาพที่เขียนเป็นต้นไม้ เมื่อดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นต้นไม้ ก็มาตั้งเป็นสังขารคือเป็นต้นไม้ขึ้นในจิต

ภาพที่เขียนเป็นภูเขา ป่า เป็นต้น ก็เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งของสีต่างๆบนผืนผ้า

แล้วเข้ามาตั้งเป็นสังขารขึ้นในจิตก็เป็นภูเขา ต้นไม้ อยู่ในจิต

และแม้ว่าไม่ใช่ภาพเขียน เป็นต้นไม้ที่เห็นเป็นต้นไม้กันอยู่ เป็นภูเขาที่เห็นเป็นภูเขากันอยู่

เป็นแม่น้ำที่เห็นเป็นแม่น้ำกันอยู่ หรือว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลต่างๆที่เห็นด้วยตา

ที่เรียกกันว่าเป็นต้นไม้จริงๆ เป็นภูเขาจริงๆ เป็นแม่น้ำจริงๆ เป็นคนจริงๆ

เป็นสัตว์เดรัจฉานจริงๆ เหล่านี้เป็นต้น ก็ล้วนเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งเหมือนกัน

เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น เหมือนอย่างภาพที่เขียนขึ้นนั้น

และเมื่อบุคคลได้มองเห็นก็เก็บมาเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งในจิตใจ

ปรากฏเป็นต้นไม้ขึ้นจริงๆ เป็นภูเขาขึ้นจริงๆ เป็นแม่น้ำขึ้นจริงๆ

เป็นคนขึ้นจริงๆ เป็นสัตว์เดรัจฉานขึ้นจริงๆในจิตใจ

แม้สิ่งที่ประสบทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย และทางมนะคือใจ

คือผุดขึ้นในใจจากสิ่งที่ได้เคยเห็นมาแล้วเป็นต้น ก็ตาม

ก็ล้วนเป็นสังขารคือสิ่งที่ผสมปรุงแต่งทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นแม้ว่ากายและใจของตนเองนี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่ผสมปรุงแต่ง คือเป็นสังขาร

แม้กายใจของบุคคลทุกๆคนก็เป็นสังขารคือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งด้วยกันทั้งหมด

และก็จิตใจนี้เองก็รับเข้ามาเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งขึ้นในจิตใจ

แต่ว่าจิตใจนี้ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าเป็นธรรมชาติที่เป็นธาตุรู้ และเป็นธรรมชาติที่ผุดผ่อง

คือปภัสสรผุดผ่อง แต่ว่ายังมีอวิชชาคือความไม่รู้ อันหมายความว่าไม่รู้ตามความเป็นจริง

ไม่ใช่หมายความว่าไม่รู้อะไรเลย ถ้าไม่รู้อะไรเลยก็จะไม่ต่างอะไรกับก้อนดินก้อนหินเป็นต้น

แต่ว่าทุกๆคนนี้ไม่ใช่ก้อนดินไม่ใช่ก้อนหิน เพราะว่ารู้อะไรๆได้ ดังจะพึงเห็นได้ว่า เห็นรูปก็รู้รูป

ได้ยินเสียงก็รู้เสียง ได้ทราบกลิ่น ทราบรส ทราบสิ่งถูกต้อง ก็รู้กลิ่น รู้รส รู้สิ่งถูกต้อง

รู้อะไรทางมโนคือใจ ก็ทราบสิ่งที่รู้นั้น จึงไม่ใช่ก้อนดินไม่ใช่ก้อนหิน เพราะว่ารู้

แต่ว่ารู้ดังกล่าวนี้ยังมีอวิชชาประกอบอยู่ อันเป็นเหตุให้เกิดโมหะคือความหลงถือเอาผิดต่างๆ

อันสิ่งที่ผสมปรุงแต่งเป็นสังขารนั้น

ดังที่ได้เปรียบเป็นภาพเขียนในทีแรกก็เขียนให้สวยสดงดงาม

และแม้ว่าสังขารจริงๆ คือที่เป็นต้นไม้จริงๆ ภูเขาจริงๆ คนจริงๆ เป็นต้น

ดังที่ได้กล่าวต่อมา ว่าเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งเช่นเดียวกันกับภาพเขียน

ซึ่งเมื่อเห็นเมื่อได้ยินเป็นต้น ก็มาปรากฏเป็นสังขารขึ้นในจิตใจ ซึ่งเป็นธาตุรู้

แต่ว่าจิตใจที่เป็นธาตุรู้นี้ยังประกอบด้วยอวิชชาด้วยโมหะ

ฉะนั้นจึงมีความหลงถือเอาผิด ตั้งต้นแต่มีสัญโญชน์คือความผูกพัน

และเกิดความยินดีเกิดความยินร้ายเพิ่มความหลงต่างๆขึ้นอีก

คือเกิดยินดีพอใจซึ่งเป็นราคะหรือโลภะขึ้นในสิ่งผสมปรุงแต่ง

คือสังขารที่สวยสดงดงาม ที่น่ายินดีพอใจต่างๆ

เหมือนอย่างภาพที่เขียนขึ้นให้วิจิตรงดงามต่างๆนั้น ก็เกิดความพอใจ

เป็นราคะบ้าง เป็นโลภะโลภอยากได้เอามาบ้าง

ถ้าสังขารคือส่วนผสมที่ปรุงแต่งนั้นไม่สวยสดงดงามเพราะร่วงโรยไป

โดยธรรมชาติก็ตาม ซึ่งเปรียบเหมือนอย่างภาพเขียนที่เขียนให้น่าเกลียดน่ากลัวต่างๆ

ให้ไม่สวยสดงดงามต่างๆ ดูแล้วก็ไม่พอใจ ก็เป็นชนวนของความไม่ชอบความชัง

ตลอดจนถึงความโกรธ ความพยาบาทมุ่งร้ายต่างๆ

ถ้าไม่เช่นนั้นก็เกิดความหลงยึดถือติดอยู่ ซึ่งมีเป็นพื้นฐาน

ประกอบกับอวิชชาคือความไม่รู้ อันนี้เองเป็นเครื่องปิดบังสัจจะที่เป็นตัวความจริง

ว่าสิ่งทั้งปวงเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น เหมือนอย่างเป็นภาพเขียนทั้งนั้น

ซึ่งภาพเขียนนั้นไม่มีความจริงอยู่ในนั้น เขียนเป็นต้นไม้ เขียนเป็นภูเขา

ก็ไม่เป็นต้นไม้จริง ไม่เป็นภูเขาจริง เพราะเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง

ซึ่งทุกคนก็เห็นว่าช่างเขียนเขาเขียนขึ้นมา

คราวนี้สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นคนจริงๆ

เป็นต้นไม้จริงๆ เป็นภูเขาจริงๆ ซึ่งความเข้าใจนั้นก็ต้องพิจารณา

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ก่อน ว่านั่นเป็นเป็นอวิชชา เป็นโมหะ

เพราะสิ่งที่คิดว่าจริงนั้น อันที่จริงก็เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งเช่นเดียวกัน

ไม่ต่างอะไรกับภาพเขียน ไม่มีต้นไม้จริงๆ ไม่มีภูเขาจริงๆ ไม่มีร่างกายใจที่เป็นอัตภาพนี้จริงๆ

ทั้งที่เป็นคน ทั้งที่เป็นสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ล้วนเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น

และพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงสั่งสอนให้บุคคลทราบถึง สังขตลักษณะ

ลักษณะคือเครื่องกำหนดหมายแห่งสังขารคือสิ่งที่ผสมปรุงแต่งทั้งหลายว่ามี ๓ ประการ

คือ ๑ ความเกิดขึ้นปรากฏ ๒ ความเสื่อมสิ้นไปปรากฏ

และ ๓ เมื่อตั้งอยู่มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ

นี้เป็นลักษณะของสังขารทั้งหลาย

ดูจากภาพเขียนก่อน เมื่อช่างมาเขียนขึ้น นั่นก็คือว่ามีความเกิดขึ้นปรากฏ

ปรากฏเป็นภาพของสิ่งต่างๆ และต่อจากนั้นก็เก่าเสื่อมไปโดยลำดับเป็นความเสื่อมสิ้นปรากฏ

จนถึงเสื่อมไปหมดสิ้น คือ ผุ หรือว่าเลือนหายไป

และเมื่อยังตั้งอยู่ก็มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับ ต้องเลอะเลือนไปโดยลำดับ

จะเห็นได้จากภาพเขียนในโบสถ์เก่าๆทั้งหลาย โบสถ์รั่วบ้าง อะไรบ้าง

ภาพเขียนนั้นก็เสื่อมสิ้นเก่าเสื่อมไปโดยลำดับ

และแม้สังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งที่เข้าใจกันว่าเป็นต้นไม้เป็นภูเขาจริงๆ

เป็นอัตภาพของบุคคล ของสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายจริงๆก็เช่นเดียวกัน

มีความเกิดขึ้นปรากฏ ตั้งแต่เป็น กลละ ขึ้นในครรภ์ของมารดา

คลอดออกมาก็เรียกกันว่าเกิดก็ปรากฏ แล้วก็มีวัยคือความเสื่อมสิ้นไปปรากฏโดยลำดับ

เรียกว่าแก่ขึ้น คือเป็นเด็กเล็ก เด็กใหญ่ เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แล้วก็แก่ลง

เพราะชำรุดทรุดโทรม เป็นคนแก่ ผมหงอกฟันหัก ความเสื่อมถอยต่างๆ

ของตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ ไปจนถึงมรณะคือความตายในที่สุด

และเมื่อตั้งอยู่นั้นก็เปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆไม่เปลี่ยนแปลง

เปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับ เมื่อพิจารณาจึงจะมองเห็น

เพราะฉะนั้นจึงได้มีแสดงว่าทุกๆคนนั้นที่เกิดมา เมื่อเกิดมาก็เดินบ่ายหน้าไปสู่ความดับในที่สุด

ด้วยกันทุกคน ไม่มีหยุดสักขณะเดียว พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้หมั่นพิจารณา

ในเมื่อได้ปฏิบัติทำสติปัฏฐานในกาย ในเวทนา ในจิต มาโดยลำดับแล้ว

ก็เป็นอันว่าได้อบรมจิตให้เป็นศีลเป็นสมาธิขึ้นมาโดยลำดับ ก็ให้ศีลสมาธิอบรมปัญญาต่อไป

จับพิจารณาให้มองเห็นว่าเป็นสังขารดังกล่าวมาแล้ว

และมีลักษณะของสังขารที่ปรากฏดังที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้

อันนี้แหละที่ตรัสสอนไว้ว่า อนิจจานุปัสสี

ตั้งสติพิจารณาให้เห็นตามอนิจจะคือความไม่เที่ยง

คือความที่มีความเกิดขึ้นปรากฏ มีความเสื่อมสิ้นไปปรากฏ

เมื่อยังตั้งอยู่ ก็เริ่มแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับไม่มีหยุดยั้ง

อันนี้เรียกว่า อนิจจานุปัสสนา

เมื่อได้อนิจจานุปัสสนาดั่งนี้แล้ว ก็จะได้วิราคะคือความสิ้นติดใจยินดี

ก็ให้ตั้งสติพิจารณาตามดูตัววิราคะคือความสิ้นติดใจยินดีที่บังเกิดขึ้น

ก็จะได้ความดับ ดับความติดใจยินดี ดับความเพลิดเพลิน

ก็ให้ตั้งสติพิจารณาตามดูตามรู้ตามเห็นตัวความดับดังกล่าวนี้ที่บังเกิดขึ้นในใจ

ก็จะได้ความปล่อยวาง สิ่งอะไรที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวเราของเราก็จะปล่อยวางลงได้

ก็ให้ตั้งสติพิจารณาตามดูตามรู้ตามเห็นตัวความปล่อยวางนี้ ที่ตามศัพท์เรียกว่าสละคืน

เหมือนอย่างว่าไปยึดเอาของเขามาก็คืนของเขาไป

เมื่อไปยึดเอาสังขารมาเป็นตัวเราของเรา ก็คืนความยึดถือ

ปล่อยสังขารที่ยึดเอามาว่าเป็นตัวเราของเราลงไป ออกไป คืนให้แก่เจ้าของเขาไป

ก็คืนให้แก่ธรรมดา เพราะที่จริงเป็นธรรมดาทั้งนั้น ซึ่งจะต้องมีลักษณะเป็นไปดังกล่าวนั้น

แต่เพราะยังมีอวิชชามีโมหะ จึงไปหลงยึดถือเอาธรรมดานั้นมาเป็นตัวเราของเรา

ซึ่งที่จริงไม่ใช่ ของเขาเป็นธรรมดาอย่างนั้นเอง เขาเป็นสังขาร เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง

ที่จะต้องเป็นไปตามธรรมดาดั่งนั่น แต่บุคคลไปยึดเอามาเป็นตัวเราของเรา

จึงได้บังเกิดความทุกข์ต่างๆ

แต่เมื่อตั้งสติตามดูตามรู้ตามเห็น ให้รู้เห็นตามเป็นจริงได้แล้ว

ก็จะปล่อยวางได้ คืนเขาไป คืนเขาไปแก่ธรรมดา ไม่ฝืนไม่ยึด

เมื่อเป็นดั่งนี้ก็เป็นอันวางทุกข์ลงไปได้โดยลำดับ จะเป็นความสิ้นทุกข์ไปโดยลำดับ

ดั่งนี้เป็นการปฏิบัติในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป