ถอดเทปพระธรรมเทศนา

  • พิมพ์

เทป020

โพชฌงค์

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

อินทรียสังวรเป็นเหตุให้มีสุจริต ๓ ๒

สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ ๓

ลำดับปฏิบัติในโพชฌงค์ ๔

ปัจจุบันธรรม ๕

สติสัมโพชฌงค์ ๖

ธัมวิจยสัมโพชฌงค์ ๗

วิริยะสัมโพชฌงค์ ๘

ความเพียร ๒ อย่าง ๘

ปีติสัมโพชฌงค์ ๙

ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ๙

สมาธิสัมโพชฌงค์ ๑๐

อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ๑๑

คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความขาดนิดหน่อย

ม้วนที่ ๒๓/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๒๓/๒ ( File Tape 20 )

อณิศร โพธิทองคำ

บรรณาธิการ

โพชฌงค์

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต

ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง

เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

วันนี้จักแสดงโพชฌงค์ ที่แปลว่าองค์ของความรู้

หรือองค์สมบัติ องค์คุณของความรู้ซึ่งเป็นตัวปัญญา

โพชฌงค์นี้เป็นหลักปฏิบัติสำคัญหมวดหนึ่ง รวมอยู่ในหมวดธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

พระพุทธองค์ผู้พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงโพชฌงค์แยกออกเป็นส่วนหนึ่งจากสติปัฏฐานก็มี

ดังเช่นที่ได้ตรัสแสดงไว้ถึงหลักปฏิบัติไปโดยลำดับว่า

อินทรียสังวรเป็นเหตุให้มีสุจริต ๓

อินทรียสังวร ความสำรวมอินทรีย์

คือมีสติสำรวมใจเป็นไป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ

อันเป็นอายตนะภายในทั้ง ๖ ซึ่งเรียกว่าอินทรีย์เพราะเป็นใหญ่แต่ละข้อในหน้าที่ของตน

ตาเป็นใหญ่ในทางเห็นรูป หูเป็นใหญ่ในทางฟังเสียง จมูกเป็นใหญ่ในการทราบกลิ่น

ลิ้นเป็นใหญ่ในการทราบรส กายเป็นใหญ่ในทางถูกต้องสิ่งถูกต้อง มโน...

ความมีสติคอยสำรวมในขณะที่เห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้ทราบอะไร ได้คิดได้นึกอะไร

ไม่ให้สิ่งเหล่านั้นก่อกิเลสให้ไหลเข้ามาท่วมใจ ดั่งนี้ เรียกว่าอินทรียสังวรความสำรวมอินทรีย์

ที่ตรัสสอนให้ปฏิบัติ และก็ได้ตรัสว่าเมื่อมีอินทรียสังวร ก็จะเป็นเหตุให้มีสุจริตทั้ง ๓

คือความประพฤติดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ

สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗

เมื่อมีสุจริตทั้ง ๓ ก็จะทำให้ปฏิบัติในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ได้

คือตั้งสติไปในกายในเวทนาในจิตในธรรม

จนสติตั้งขึ้นได้ในกายในเวทนาในจิตในธรรม อันเป็นสติปัฏฐานทั้ง ๔

และเมื่อปฏิบัติในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ได้ ก็จะปฏิบัติในโพชฌงค์ทั้ง ๗ สืบต่อไปได้

และเมื่อปฏิบัติในโพชฌงค์ทั้ง ๗ สืบต่อไปได้ ก็จะทำให้อบรมวิชชา

ความรู้แจ่มแจ้งตามความเป็นจริง และวิมุติความหลุดพ้นบังเกิดขึ้นได้ดั่งนี้

นี้เป็นการที่ตรัสแสดงลำดับธรรมปฏิบัติ

อนึ่งก็ได้ตรัสแสดงอีกอย่างหนึ่ง ก็รวมโพชฌงค์ทั้ง ๗ นี้เข้าในสติปัฏฐานทั้ง ๔

ในหมวดธรรมานุปัสสนา ต่อจากหมวดอายตนะ

และอีกอย่างหนึ่งได้ตรัสแสดงไว้โดยเอกเทศจำเพาะหมวดโพชฌงค์ สำหรับเป็นข้อปฏิบัติ

ผู้ต้องการที่จะปฏิบัติโพชฌงค์โดยตรง ก็ย่อมจะปฏิบัติได้

แม้ว่าจะได้ตรัสแสดงโพชฌงค์ไว้ในที่ต่างๆกันดังกล่าว

คือว่าแสดงไปตามลำดับธรรมปฏิบัติต่อจากสติปัฏฐานก็มี

แสดงรวมเข้าในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ก็มี และแสดงโดยเอกเทศจำเพาะโพชฌงค์ทั้ง ๗ ก็มี

อันนี้ไม่ทำให้ฟั้นเฝือ

แต่กลับเป็นการที่แสดงว่าโพชฌงค์นั้นเป็นหลักธรรมะอันสำคัญ ซึ่งจะต้องใช้ปฏิบัติในที่ทั้งปวง

เมื่อต้องการจะปฏิบัติธรรมะขึ้นไปโดยลำดับ ก็จะต้องปฏิบัติในโพชฌงค์ด้วย

เมื่อจะปฏิบัติในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ก็ต้องมีโพชฌงค์รวมเข้ามาด้วย

หรือแม้ว่าจะปฏิบัติโพชฌงค์โดยเอกเทศก็ปฏิบัติได้

ลำดับปฏิบัติในโพชฌงค์

ในวันนี้จะแสดง จะเรียกว่าลำดับปฏิบัติก็ได้

จะรวมเข้าในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ก็ได้ หรือเรียกว่าโดยเอกเทศก็ได้

โดยที่มุ่งแสดงเป็นปัจจุบันธรรม โดยจับเอาอายตนะขึ้นมาเป็นข้อเริ่มต้น

เพราะว่าในสติปัฏฐานข้อธรรมานุปัสสนา ซึ่งแสดงหมวดอายตนะนั้น

เมื่อว่าตามลำดับก็เริ่มแต่นิวรณ์ แล้วก็มาขันธ์ ๕ แล้วก็มาหมวดอายตนะทั้ง ๖

จึงมาถึงหมวดโพชฌงค์

คราวนี้เมื่อแสดงเป็นปัจจุบันธรรม โดยจับเอาข้ออายตนะขึ้นมาเป็นที่ตั้งนำ

จึงชื่อว่าเป็นการแสดงข้อธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานตามลำดับดังกล่าว

คืออายตนะ แล้วก็โพชฌงค์ก็ได้ และเมื่อแสดงโดยปัจจุบันธรรม

จะเรียกว่าแสดงโพชฌงค์โดยเอกเทศก็ได้

เพราะอันที่จริงนั้นทุกๆหมวดของสติปัฏฐานทั้ง ๔ ทุกๆปัพพะ

คือทุกๆข้อของสติปัฏฐานเหล่านี้ และทุกๆข้อของโพชฌงค์

ทุกๆข้อของธรรมะที่เป็นไปตามลำดับปฏิบัติ ก็รวมอยู่ในกายอันยาววาหนึ่ง

มีสัญญามีใจนี้นี่แหละ หรือว่ารวมอยู่ในกายและใจนี้นี่แหละ

และกายและใจนี้ของทุกๆคนก็มีอยู่ทั้งนั้น ที่ตั้งของสติปัฏฐานทั้ง ๔ กายเวทนาจิตธรรมก็มี

ที่ตั้งของโพชฌงค์ก็มี แม้ว่าจะแสดงยกเอาอินทรียสังวร ยกเอาสุจริต ๓

ยกเอาสติปัฏฐาน ๔ ยกเอาโพชฌงค์ ๗ ยกเอาวิชชาวิมุติดังที่อ้างมาข้างต้นนั้น

ทั้งหมดเหล่านี้อินทรีย์ก็มีอยู่ในกายใจนี้ ก็คือตาหูจมูกลิ้นกายใจก็มีอยู่

รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมะเรื่องราวก็มีอยู่ กายวาจาใจอันเป็นที่ตั้งของสุจริตก็มีอยู่

กายเวทนาจิตธรรมก็มีอยู่ และที่ตั้งของโพชฌงค์ทั้ง ๗ ก็มีอยู่คือกายใจอันนี้นี่เอง

ตลอดจนถึงที่ตั้งของวิชชาวิมุติก็มีอยู่ทั้งนั้น ก็รวมอยู่ในก้อนกายก้อนใจอันนี้ไม่ใช่ที่ไหน

เพราะฉะนั้น เมื่อจะยกเอาอันใดขึ้นมา ก็ติดอันอื่นขึ้นมาเป็นพวงเดียวกันทั้งหมด

ปัจจุบันธรรม

เพราะฉะนั้น เมื่อมุ่งแสดงโดยปัจจุบันธรรม ก็ให้กำหนดดูตาหูจมูกลิ้นกายและใจ

ที่เป็นไปอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งทำหน้าที่รับรูป รับเสียง รับกลิ่น รับรส รับโผฏฐัพพะ

รับเรื่องราวอยู่เดี๋ยวนี้ หรือว่าในเวลาที่แล้วมาก็ตาม ในเวลาต่อไปก็ตาม

ในขณะที่กำลังรับอยู่ก็เรียกว่าเป็นปัจจุบันธรรม ที่รับมาแล้วก็เป็นอดีต

ที่จะรับต่อไปก็เป็นอนาคต

คราวนี้ก็เอาปัจจุบันธรรมคือที่รับอยู่เดี๋ยวนี้

ที่รับอยู่เดี๋ยวนี้นั้นกำลังฟังธรรมบรรยาย ก็เป็นหน้าที่ของหูที่จะฟัง

และเป็นหน้าที่ของใจที่จะตั้งใจฟังไปพร้อมกับหู

และเมื่อหูฟังใจก็ตั้งที่จะฟังอยู่ ปัจจุบันธรรมเดี๋ยวนี้ก็คือฟังธรรมบรรยาย

และถ้าหากว่าในขณะใดใจไม่ตั้งที่จะฟัง ใจออกไปคิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ต่างๆ

หูก็ดับ ก็แปลว่าไม่ได้ยินเสียงที่อบรมนี้ กลับไปรู้ไปคิดในเรื่องอื่น

เพราะฉะนั้น จึงให้มีสติพร้อมทั้งสัมปชัญญะ

มีสติก็คือว่าระลึกได้ สัมปชัญญะก็คือว่ารู้ตัว คือมีความรู้ตัวอยู่ว่ากำลังฟังธรรมบรรยาย

และมีสติที่จะกำกับใจ ให้ใจตั้งที่จะฟัง ก็เป็นอันว่าใจก็ฟัง หูก็ฟัง

เมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะได้ยิน หูไม่ดับ ได้ยินเสียงที่บรรยายนี้ทุกถ้อยคำไปโดยลำดับ

ให้มีสติความระลึกได้พร้อมทั้งสัมปชัญญะความตั้งใจฟัง

สติสัมโพชฌงค์

แต่ว่าไม่ต้องการจะเรียกให้ยืดยาวว่าสติสัมปชัญญะ

เรียกเอาคำเดียวว่าสติ ซึ่งมีความหมายครอบคลุมไปถึงสัมปชัญญะคือความรู้ตัวด้วย

ซึ่งอาจจะรวมแปลสั้นๆว่าระลึกรู้ สติระลึกรู้ คือมีทั้งสติ มีทั้งสัมปชัญญะ

สติก็ระลึก สัมปชัญญะก็รู้ รวมเข้าสองคำเรียกสั้นๆรวมกันว่าสติคำเดียว

และก็กล่าวได้ว่าความระลึกรู้ คือรวมสัมปชัญญะเข้าด้วยนี้เป็นตัวสติที่สมบูรณ์

ถ้าหากว่าไม่เช่นนั้น ระลึกเลื่อนลอยไปก็ระลึกเหมือนกัน

แต่ว่าถ้ามีตัวรู้คอยดึงอยู่ คือรู้ตัว รู้ที่กำกับตัวอยู่ว่ากำลังฟังธรรมบรรยาย

ก็ทำให้ตัวระลึก ระลึกอยู่ในคำที่ ..ที่แสดง ไม่ไปไหน ดั่งนี้จึงเป็นสติที่สมบูรณ์

แต่ถ้าหากว่าไม่มีตัวรู้คอยดึงเอาไว้ ใจก็ระลึกนึกเลื่อนลอยออกไปถึงโน่นถึงนี่

ก็ระลึกเหมือนกัน แต่ว่าไม่เรียกว่าสติในที่นี้

อันที่จริงก็สติเหมือนกัน

หากว่าจะเรียกว่าสติก็ได้ ดั่งที่ท่านเรียกว่ามิจฉาสติ ระลึกผิด ผิดที่ผิดทาง

ตลอดจนถึงผิดที่อันตรงกันข้ามกับถูก อันหมายว่าไม่ดี ตรงกันข้ามกับดี

แต่แม้ว่าไม่ถึงขนาดนั้น ระลึกผิดที่ผิดทางก็เป็นมิจฉาสติเหมือนกัน

ดั่งเช่นขณะนี้กำลังฟังธรรมบรรยาย

ควรที่จะระลึกไปตามถ้อยคำที่แสดง ตั้งใจฟัง นี่เรียกว่าระลึกถูกที่ถูกทาง

เป็นสัมมาสติระลึกชอบ จึงต้องมีตัวรู้ รู้ตัว คอยยึดเอาไว้ไม่ให้จิตหลุดออกไป

ระลึกเป็นมิจฉาสติ ระลึกผิด ก็คือผิดที่ผิดทาง ดั่งนี้ก็ไม่ได้สมาธิ

เพราะฉะนั้นจึงต้องมีตัวสติระลึกรู้กำกับจิตใจอยู่ ให้จิตใจระลึกไปตามธรรมะที่แสดง

ดั่งนี้เป็นตัวสติ และความระลึกที่เป็นตัวสติที่เป็นปัจจุบันธรรม คือในปัจจุบันอยู่เดี๋ยวนี้

ก็เรียกว่า สติสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อมคือสติ

หรือ สติโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้คือตัวสติได้ อันเป็นข้อที่ ๑

ธัมวิจยสัมโพชฌงค์

คราวนี้มาถึงข้อที่ ๒ ธัมวิจยะสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อมคือธัมวิจยะ

หรือว่า ธัมวิจยะโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้คือธัมวิจยะ

อันคำว่าธัมวิจยะนี้แปลว่าเลือกเฟ้นธรรม เรียกรวมกันว่าธรรมวิจัย

และคำว่าวิจัยนี้ก็มาใช้ในภาษาไทย วิจัยสิ่งนั้น วิจัยสิ่งนี้

ก็คือการพิจารณาเลือกเฟ้น เลือกเฟ้นธรรม

พระพุทธเจ้าตรัสสอนเป็นหลักเอาไว้ว่า ก็คือเลือกเฟ้นธรรมว่า

กุศลธรรมธรรมะที่เป็นกุศล หรืออกุศลธรรมธรรมะที่เป็นอกุศล

ธรรมะที่มีโทษหรือว่าไม่มีโทษ ธรรมะที่เลวหรือว่าธรรมะที่ดี

ธรรมที่ดำหรือว่าธรรมะที่ขาว

เพราะฉะนั้นจึงต้องทำความเข้าใจคำว่าธรรมะในที่นี้ ว่ามีความหมายเป็นกลางๆ

ดีก็ธรรม ชั่วก็ธรรม เป็นคำกลางๆ ดังถ้าดีก็เรียกุศลธรรม ชั่วก็เรียกว่าอกุศลธรรม

อันมีความหมายครอบถึงทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง ดังที่เราเรียกกันว่า สิ่งนั้นดี สิ่งนั้นไม่ดี

คำว่าสิ่งก็หมายถึงทุกๆสิ่งทุกๆอย่างนั้นเอง ดั่งนี้คือความหมายของคำว่าธรรมะในที่นี้

เพราะฉะนั้นเมื่อมีสติระลึกรู้ไปตามธรรมบรรยายที่ฟัง ก็ให้มีธรรมวิจัย

คือให้เข้าใจไปด้วยว่า ข้อที่แสดงอยู่นี้ ข้อนั้นดีเป็นกุศล ไม่มีโทษ เป็นธรรมะที่ขาว

ข้อนั้นไม่ดี เป็นอกุศลมีโทษ เป็นธรรมะที่ดำ

ดังเช่นที่แสดงถึงตัวสติ ที่อธิบายสติกับสัมปชัญญะ

ซึ่งเรียกรวมกันว่าสติดังกล่าวนั้น และมีคำแปลที่รวมกันสั้นๆว่าระลึกรู้

เมื่อฟังก็มีสติกำกับใจให้ฟัง รู้ว่ากำลังฟัง ดึงจิตใจให้ๆฟังอยู่

ดั่งนี้เป็นตัวสัมมาสติ สติที่ถูกที่ถูกทาง ที่ชอบ

ถ้าหากว่าจิตฟุ้งออกไป ไประลึกเรื่องอื่นก็เรียกว่ามิจฉาสติ ระลึกผิด ผิดที่ผิดทาง

บางทีแม้ว่าเรื่องที่ระลึกนั้นจะเป็นเรื่องที่ดีก็ตาม แต่ว่าผิดที่ผิดทางผิดเวลา

ไม่ใช่เป็นเวลาที่จะส่งจิตออกไประลึกเรื่องอื่น จะต้องระลึกไปตามถ้อยคำที่แสดงนี้

ดั่งนี้ก็มีความเข้าใจว่า ถ้าอย่างนี้ก็เป็นสัมมาสติ ถ้าอย่างนี้ก็เป็นมิจฉาสติ

ก็เป็นธรรมวิจัยอย่างหนึ่ง

คราวนี้ก็รู้ที่จิตใจนี้เองด้วย เมื่อจิตใจนี้เองระลึกถูกที่ถูกทางอยู่ ก็รู้ว่านี่เป็นสัมมาสติ

ถ้าหากว่าจิตใจนี้เองระลึกผิดที่ผิดทางดังกล่าวก็เรียกว่าเป็นมิจฉาสติ

ก็เรียกว่ารู้ทั้งถ้อยคำที่แสดง และรู้ทั้งความเป็นไปของจิตของตนเองว่าเป็นอย่างไร

ถูกหรือผิดอย่างไร ถ้าเป็นสติ เป็นสัมมาสติถูกที่ถูกทาง หรือมิจฉาสติผิดที่ผิดทาง

ดังที่กล่าวมานั้น ดั่งนี้ก็เป็นธรรมวิจัย

วิริยะสัมโพชฌงค์

คราวนี้เมื่อมีธรรมวิจัยอยู่ดั่งนี้แล้ว ก็นับว่าเป็นโพชฌงค์ข้อที่ ๒

จึงมาถึงข้อที่ ๓ วิริยะโพชฌงค์ หรือ วิริยะสัมโพชฌงค์

โพชฌงค์หรือสัมโพชฌงค์ คือวิริยะความเพียร ก็ได้แก่ความที่มีการปฏิบัติจัดทำ

ละส่วนที่ชั่วที่ผิด ส่วนที่เป็นอกุศล ส่วนที่เลว ส่วนที่ดำ อันเรียกว่า ปหานะ ปฏิบัติจัดทำละเสีย

กับปฏิบัติจัดทำอบรมส่วนที่ดี ที่เป็นกุศลที่ไม่มีโทษ ที่เป็นส่วนขาว

ดังเช่นเมื่อรู้ว่านี่เป็นมิจฉาสติ นี่เป็นสัมมาสติ ก็ต้องคอยเพียรที่จะละมิจฉาสติเสีย

บางทีเผลอ พอรู้ตัวขึ้นก็ต้องนำใจกลับเข้ามาทันที นี่เป็นปหานะ

ละมิจฉาสติ สติที่ผิดที่ผิดทางนั้นเสีย แล้วก็นำมาสู่สัมมาสติ ปฏิบัติทำสัมมาสติให้บังเกิดขึ้น

ความเพียร ๒ อย่าง

ส่วนที่ปฏิบัติจัดทำส่วนที่ดีให้เกิดขึ้นนี้เรียกว่าภาวนา

เพียรนั้นจึงมี ๒ อย่าง เพียรละอันเรียกว่า ปหานะ อย่างหนึ่ง

เพียรทำให้มีขึ้นเรียกว่า ภาวนา อีกอย่างหนึ่ง โดยที่ให้มีการเริ่มทำทันที

และดำเนินการปฏิบัติจัดทำให้ก้าวหน้าต่อไป จนบรรลุถึงความสำเร็จ

ดั่งนี้ก็เป็นโพชฌงค์ข้อที่ ๓ วิริยะสัมโพชฌงค์ หรือวิริยะโพชฌงค์

ปีติสัมโพชฌงค์

เมื่อมาถึงข้อที่ ๓ ดั่งนี้แล้ว ก็จะถึงข้อที่ ๔ ปีติสัมโพชฌงค์ หรือ ปีติโพชฌงค์

สัมโพชฌงค์หรือโพชฌงค์คือปีติความอิ่มใจ อันเป็นผลของวิริยะคือความเพียรข้อที่ ๓ นั้น

เพราะว่าเมื่อมีการปฏิบัติจัดทำส่วนปหานะ ก็คือชำระธรรมะที่เป็นส่วนอกุศล

เป็นส่วนมีโทษ เป็นส่วนเลว และเป็นส่วนที่ดำออกไป

ปฏิบัติจัดทำธรรมะส่วนที่เป็นกุศล ที่ไม่มีโทษ ที่เป็นส่วนดี ที่เป็นส่วนขาวให้บังเกิดขึ้น

ก็คือว่าทำสตินี่แหละให้บังเกิดมากขึ้นๆ และก็คอยละสิ่งที่เป็นอกุศลต่างๆ

นิวรณ์ต่างๆที่บังเกิดขึ้น จิตใจก็จะบริสุทธิ์สะอาดขึ้นโดยลำดับ

เมื่อจิตใจบริสุทธิ์สะอาดขึ้นโดยลำดับ จิตใจนี้เองก็จะเกิดความอิ่มเอิบด้วยความบริสุทธิ์

จึงปรากฏอาการเป็นปีติคือความอิ่มใจ คือใจที่บริสุทธิ์เอิบอิ่ม ไม่เศร้าหมอง

เพราะบรรดาธรรมะที่เป็นอกุศลเป็นต้นดังที่กล่าวมานั้นทำให้ใจเศร้าหมองทั้งนั้น

ครั้นเมื่อชำระออกไปเสียได้ อบรมส่วนที่ดีเข้ามาแทน จิตนี้ก็บริสุทธิ์ไม่เศร้าหมอง

เมื่อไม่เศร้าหมองจิตก็เอิบอิ่มอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ และดูดดื่มอยู่ในกุศลมากขึ้น

เหมือนอย่างว่าดื่มน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ ก็ทำให้เกิดความอิ่มเอิบมากขึ้น

ใจก็อิ่มเอิบต้องการที่จะดูดดื่มกุศลธรรมยิ่งขึ้นๆ ดั่งนี้ก็เป็นปีติ อันเป็นข้อที่ ๔

ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์

(เริ่ม ๒๔/๒) และเมื่อมีปีติเป็นข้อที่ ๔

ก็จะถึงข้อที่ ๕ คือ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ หรือ ปัสสัทธิโพชฌงค์

สัมโพชฌงค์หรือโพชฌงค์คือปัสสัทธิความสงบ สงบกายสงบใจ มีสุข

กายใจนี้เมื่อประกอบด้วยธรรมะที่เป็นอกุศล เป็นจิตใจที่เศร้าหมอง

ก็เป็นจิตใจที่มีทุกข์ ทุกข์ที่ละเอียด หรือทุกข์ที่หยาบ

แต่ว่าเมื่อเป็นจิตใจที่บริสุทธิ์ขึ้น มีปีติเอิบอิ่มในธรรม ต้องการดูดดื่มธรรมะมากขึ้น

ก็มีความสุข กายใจที่เคยไม่สงบ ก็สงบ สงบนี้เองเป็นตัวปัสสัทธิ

สงบกายสงบใจ มีสุข ก็เป็นโพชฌงค์ข้อที่ ๕

สมาธิสัมโพชฌงค์

ก็จะถึงข้อที่ ๖ คือสมาธิสัมโพชฌงค์ หรือสมาธิโพชฌงค์

สัมโพชฌงค์หรือโพชฌงค์คือสมาธิ คือจิตใจก็จะตั้งมั่นเป็นสมาธิ

ตั้งมั้นอยู่ในอารมณ์ของสมาธิที่ตั้งปฏิบัติ จะเป็นอารมณ์ของสมาธิข้อใดก็ตามที่ตั้งปฏิบัติมา

เช่นว่าตั้งใจปฏิบัติทำอานาปานสติมา หรือข้อใดข้อหนึ่งอื่นก็ตาม

เมื่อมีโพชฌงค์มาประกอบถึงขั้นนี้แล้ว ก็จะได้สมาธิดีขึ้น

เพราะว่าอาการที่กายใจสงบมีสุขนี้เป็นที่ตั้งของสมาธิ

ถ้าไม่มีสุขประกอบกับความสงบกายใจ สมาธิก็ยากที่จะตั้งได้

เหมือนอย่างบุคคลนั่งอยู่ในที่ร้อนก็นั่งไม่ติด จะต้องรีบลุกออกไป หรือต้องขยุกขยิกไม่ผาสุข

แต่ว่านั่งอยู่ในที่สบาย กายใจเองก็สบายไม่เมื่อยไม่ขบ มีสุข ก็นั่งอยู่ได้นาน

จิตก็เช่นเดียวกัน เมื่อจิตมีสุข มีความสงบจิตก็ตั้งอยู่ได้ดี

ได้ดีในสมาธิที่ๆตั้งปฏิบัติมาตั้งแต่ต้น จะเป็นข้อใดก็ได้ทั้งนั้น

และหากว่าไม่ได้ตั้งปฏิบัติมาตั้งแต่ต้น เอาเป็นปัจจุบันธรรม

โดยที่เริ่มปฏิบัติโพชฌงค์มาจากอายตนะ ดังที่ได้แสดงในวันนี้

ก็ยกเอาปัจจุบันธรรมคือฟังธรรมบรรยายนี่มาเป็นเริ่มต้น

ก็แปลว่าไม่ได้ไปตั้งสมาธิไว้ในข้อไหนมาตั้งแต่ต้น

ถ้าหากว่าไม่ได้ตั้งสมาธิข้อใดมาตั้งแต่ต้นดั่งนี้

ปฏิบัติทางโพชฌงค์เรื่อยมาจากปัจจุบันธรรมจริงๆดั่งนี้แล้ว

เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วจิตก็จะสงบอยู่ภายใน ไม่ฟุ้งออกไป รวมเข้ามาเอง สงบอยู่ในภายใน

และเมื่อสงบอยู่ในภายในนี้ อะไรผ่านเข้ามาทางอายตนะก็รู้

เสียงที่แสดงธรรมะนี้ก็เป็นเสียงที่ผ่านเข้ามาทางหู ก็รู้ รู้ทุกถ้อยคำของเสียงที่แสดง

แต่ว่าจิตไม่ฟุ้งออกไปไหน ไม่ฟุ้งออกไปในเรื่องนั้นเรื่องนี้อะไรที่กล่าวมาข้างต้น

ว่าเป็นมิจฉาสติ สติผิด ผิดที่ผิดทางดังกล่าวนั้น

แต่ว่าเป็นสัมมาสติ สติชอบคือว่าถูกชอบ ถูกที่ถูกทาง สงบอยู่ในภายใน รู้แต่ไม่ออกไป

ดั่งนี้แหละคือตัวสมาธิสัมโพชฌงค์

สงบอยู่ภายใน รู้ แต่ไม่ออก อะไรเข้ามาทางหูก็รู้ อะไรเข้ามาทางตาก็รู้

ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็รู้ แต่จิตไม่ออกสงบอยู่ในภายใน

และสิ่งที่เข้ามานั้นก็เหมือนอย่างว่าตกอยู่ข้างนอก ไม่เข้ามาสู่ใจ

เหมือนอย่างว่าฝนตกลงมา บุคคลอยู่ในบ้านที่หลังคาไม่รั่ว ก็รู้ว่าฝนตกมากระทบหลังคา

แต่ว่าก็ไม่ตกเข้ามาเปียกบุคคลที่อยู่ในห้องในบ้าน เพราะหลังคาไม่รั่ว แต่ก็รู้ว่าฝนตก

เพราะฉะนั้นสมาธิในสัมโพชฌงค์นี้ก็เช่นเดียวกัน สงบอยู่ภายใน ตั้งมั่นอยู่ในภายใน

ตาก็มองเห็น หูก็ได้ยิน จมูกลิ้นกายก็ทราบ ใจก็รู้ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่รั่วเข้ามา

จิตสงบอยู่ในภายใน ตั้งอยู่ในภายใน

ดั่งนี้ก็คือสมาธิสัมโพชฌงค์ หรือสมาธิโพชฌงค์อันเป็นข้อที่ ๖

อุเบกขาสัมโพชฌงค์

จึงมาถึงข้อที่ ๗ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ หรือ อุเบกขาโพชฌงค์

สัมโพชฌงค์หรือโพชฌงค์คืออุเบกขา อุเบกขาแปลว่าความเข้าไปเพ่งดูอยู่

อันมีความหมายว่าจิตที่ตั้งสงบอยู่นั้นก็รู้ รู้อยู่ตลอดว่าจิตตั้งอยู่สงบ

เหมือนอย่างคอยดูอยู่ด้วยลูกตาซึ่งจิตนั้น เป็นความที่เข้าไปเพ่งดู มีตัวรู้ด้วย รู้จิตนั้นว่าตั้งสงบ

ตัวรู้จิตนั้นที่ตั้งสงบนั้น เป็นตัวรู้ที่ไม่ออกไปเช่นเดียวกัน และเป็นตัวรู้ที่ไม่ยินดีไม่ยินร้าย

เป็นตัวรู้ที่เป็นตัวรู้วาง รู้แล้วก็วาง และเมื่อวางได้ก็ไม่วุ่นวาย ความไม่วุ่นวายนี้เรียกว่าเฉย

เพราะฉะนั้น จึงมีอาการที่เป็นตัวความวาง คือไม่ยึดถือ เป็นตัวความเฉยก็คือว่าไม่วุ่นวาย

ไม่ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย เป็นรู้ที่วาง และเป็นรู้ที่เฉยคือไม่วุ่นวายไม่กระสับกระส่าย

แต่ว่ารู้ทุกอย่าง เหมือนอย่างนั่งอยู่ในบ้านในห้องที่หลังคามุงด้วยดีฝนลงมาก็รู้

และก็ฝนก็ไม่รั่วลงมารด อารมณ์ทั้งหลายที่ผ่านเข้ามา อย่างจะดูอะไร จะได้ยินอะไร

จะทราบอะไร จะคิดอะไร ก็รู้ แต่ว่ารู้แล้วก็วาง ไม่วุ่นวายไม่กระสับกระส่าย สงบ

ดั่งนี้คืออุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันเป็นข้อสำคัญ อันเป็นข้อที่ ๗ ซึ่งจะต้องมีกำกับอยู่กับตัวสมาธิ

จึงจะทำให้สมาธินี้เป็นสมาธิที่ก้าวหน้า เบื้องต้นก็เป็นบริกรรม ก็เป็นอุปจาระสมาธิ

แล้วก็เป็นอัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่นได้

เพราะฉะนั้น สมาธิแม้ที่เป็นอัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่นนี้ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ไม่ใช่ว่าหลับ

หรือไม่ใช่ว่าดับ ความหลับหรือความดับคือตัวหายไปเฉยๆ ดั่งนี้ไม่ใช่สมาธิ

เป็นอาการของความหลับ เป็นถีนมิทธะอย่างหนึ่ง

แต่เมื่อเป็นสมาธิแล้วยิ่งละเอียดเท่าไหร่ ก็จะต้องมีตัวรู้ ที่ตื่นที่สว่าง ที่แจ่มใสเพียงนั้น

แต่ว่าเป็นตัวรู้ที่เป็นอุเบกขาดังกล่าว สงบไม่วุ่นวาย ไม่ยึดถือ แต่ว่ารู้

แล้วก็เป็นความรู้ที่รู้อยู่ในภายในไปโดยลำดับ

ซึ่งบางคราวจะปรากฏเหมือนอย่างว่าไม่มีตัว แต่ว่ามีตัวรู้

อันความปรากฏเหมือนอย่างว่าไม่มีตัวนี้ ก็คือว่าเหมือนอย่างประสาททั้ง ๕ ดับหรือสงบ

ประสาทตา ประสาทหู ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทกาย ละเอียดสงบ

จึงเหมือนอย่างไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีกาย จึงคล้ายๆรู้สึกว่าไม่มีตัว

แต่ว่าอายตนะที่ ๖ คือมโนกับธรรมคือเรื่องราวนั้นยังอยู่ ใจไม่ดับ ใจสว่างใจตื่นใจโพลง

และธรรมะที่รวมอยู่กับมโนนั้น ก็คือสติสมาธิอุเบกขานี้เอง

เป็นตัวธรรมะที่ประกอบอยู่กับตัวมโน ดั่งนี้แหละจึงจะเป็นตัวสมาธิ และเป็นตัวอุเบกขา

ที่เป็นสัมโพชฌงค์ที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น

ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจทำความสงบ ตั้งใจฟังสวดตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

*

ปัญญาในโพชฌงค์ ทุกข์ ทุกข์อริยสัจจ์

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

สมาธิเป็นบาทของปัญญา ๓

ปัญญาในการปฏิบัติ ๔

ปัญญาในกรรม ๕

ทุกข์อริยสัจจ์ ๕

สภาวะทุกข์ ปกิณกะทุกข์ ๖

โสกะปริเทวะ ๗

ทุกขสมุทัย ๘

คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความขาดนิดหน่อย แต่ไม่เสียความ

ม้วนที่ ๒๔/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๒๔/๒ ( File Tape 20 )

อณิศร โพธิทองคำ

บรรณาธิการ

ปัญญาในโพชฌงค์ ทุกข์ ทุกข์อริยสัจจ์

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต

ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง

เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

ได้แสดงโพชฌงค์ หรือสัมโพชฌงค์องค์แห่งความรู้

หรือองค์แห่งความรู้พร้อม อันเป็นหลักปฏิบัติสำคัญหลักหนึ่งในพุทธศาสนา

เชื่อมโยงกันอยู่กับสติปัฏฐานทั้ง ๔ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

และเมื่อพิจารณาดูกระแสธรรมที่ได้ตรัสแสดง ย่อมจะจับความได้ว่า

แม้จะเรียกว่าสติปัฏฐานแต่ก็ต้องประกอบด้วยโพชฌงค์

จึงจะส่งไปสู่ศีลสมาธิปัญญาอันสมบูรณ์ได้

และแม้กล่าวเพียงสมาธิอย่างเดียวก็ต้องประกอบโพชฌงค์ จึงจะได้สมาธิถึงอัปปนาสมาธิ

เพราะว่าอันอัปปนาสมาธินั้นจะต้องมีองค์ประกอบ คืออุเบกขาอยู่ด้วย

และอุเบกขาที่ประกอบนั้นจะพึงได้ก็ต้องอาศัยโพชฌงค์ส่งขึ้นมา

จนถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์

สมาธิเป็นบาทของปัญญา

และหลักสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือเมื่อได้มีโพชฌงค์ประกอบอยู่ด้วยดั่งนี้

ย่อมจะทำให้สมาธิที่ได้เป็นสัมมาสมาธิ สมาธิอันถูกต้อง อันเป็นบาทของปัญญา

คือความรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ที่ได้ตรัสแสดงไว้สืบต่อจากโพชฌงค์ในธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ดังจะพึงเห็นได้ว่าการปฏิบัติทางสมาธินั้น

จนถึงอัปปนาสมาธิ จนถึงฌาน รูปฌาน อรูปฌาน ได้มีมาเก่าก่อนพุทธกาล

มีท่านผู้ที่ได้ออกปฏิบัติทำสมาธิจนบรรลุถึงฌาน

ที่ท่านแสดงว่าเป็นเหตุให้ไปบังเกิดในพรหมโลกก็ได้มีอยู่แล้ว

เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้ตรัสรู้นั้น โลก เทวโลก พรหมโลก ก็ได้มีอยู่แล้วอย่างเต็มที่

ยังขาดแต่มรรคผลนิพพาน อันทำบุคคลให้เป็นอริยะ คือตัดกิเลสได้บางส่วนจนถึงสิ้นเชิง

ยังไม่มีขึ้นในโลก จึงเป็นหลักที่ยืนยันว่าการปฏิบัติมาในศีลในสมาธิ ก็ได้มีมาอย่างเต็มที่แล้ว

แต่เมื่อยังขาดปัญญาตัดกิเลส ก็บ่งความว่ายังมีกิเลส

เมื่อยังมีกิเลส การบรรลุถึงศีลถึงสมาธิ หรือแม้ปัญญาเองก็ยังไม่ถึงที่สุด

และก็ยังไม่แน่นอน เสื่อมได้

เพราะฉะนั้นแม้จะเกิดในพรหมโลกด้วยอำนาจของฌานที่ยังมีกิเลส

ก็ยังมีโอกาสที่จะต้องเคลื่อนอันเรียกว่าจุติคือเคลื่อนจากภพภูมินั้น

เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ก็คือได้ตรัสรู้อริยสัจจ์ทั้ง ๔ ตัดกิเลสและกองทุกข์ได้สิ้น

เพราะฉะนั้นจึงได้มีมรรคผลนิพพาน มีพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ อย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลักของการทำสติทำสมาธิในพุทธศาสนานั้น

เป็นหลักที่จะนำไปสู่มรรคผลนิพพานได้โดยตรง

คือสติก็ต้องเป็นสติปัฏฐานทั้ง ๔ และปัญญาที่ประกอบอยู่ก็จะต้องเป็นโพชฌงค์

เพราะฉะนั้นสติปัฏฐานและโพชฌงค์นี้ จึงเป็นหลักปฏิบัติที่นำไปสู่มรรคผลนิพพานโดยตรง

และจะพึงเห็นได้ว่าหลักของสติปัฏฐาน ย่อมเป็นข้อปฏิบัติที่มีสตินำ ให้ได้สมาธิได้ปัญญา

หรือได้สมถะ ได้วิปัสสนาโดยตรง

ปัญญาในการปฏิบัติ

และหลักของปัญญานั้นก็ต้องเป็นโพชฌงค์อันมีสตินำ

ดังจะพึงเห็นได้ว่าในโพชฌงค์ข้อที่ ๒ ธัมวิจยะสัมโพชฌงค์

สัมโพชฌงค์คือการเลือกเฟ้นธรรม ซึ่งเป็นตัวปัญญา และเป็นตัวปัญญาในปฏิบัติธรรมนั้นเอง

คือรู้ว่าการปฏิบัตินั้นของตนเป็นอย่างไร เป็นอกุศลมีโทษ เป็นฝ่ายดำ

หรือว่าเป็นกุศลไม่มีโทษ เป็นฝ่ายขาว ดังที่ได้กล่าวอธิบายแล้ว

เพราะฉะนั้นเมื่อมีธรรมวิจัยอยู่อย่างนี้ จึงรู้การปฏิบัติของตนว่าเป็นอย่างไร

จึงกล่าวได้ว่าธัมวิจยะสัมโพชฌงค์นั้นเป็นปัญญาในการปฏิบัติ

และตัววิจัยนั้น ก็คือตัวโยนิโสมนสิการนั้นเอง

การพิจารณาจับเหตุจับผล ที่แปลว่าทำไว้ในใจโดยแยบคาย

แต่ว่าโดยพยัญชนะคือถ้อยคำนั้น ก็คือการทำไว้ในใจคือพิจารณาจับตัวเหตุให้ได้

ก็เป็นอันว่าครอบคลุมถึงว่าจับเหตุจับผลนั้นเอง ในการปฏิบัติให้ถูกต้อง

ว่าอะไรเป็นการปฏิบัติถูก อะไรเป็นการปฏิบัติผิด

เพราะฉะนั้นจึงเป็นปัญญาในการปฏิบัติ หรือจะเรียกว่าเป็นปัญญาในกรรม

การงานที่กระทำทางกายทางวาจาทางใจก็ได้

ปัญญาในกรรม หรือปัญญาในการปฏิบัตินี้เป็นสิ่งสำคัญ

ถ้าหากว่ามีอยู่ก็จะทำให้ปฏิบัติศีลเป็นศีล ปฏิบัติสมาธิเป็นสมาธิ คือว่าเป็นสัมมาสมาธิ

แม้ในข้ออื่นก็เช่นเดียวกัน ปฏิบัติสติเป็นสัมมาสติ สติชอบ ดั่งนี้เป็นต้น

เมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว จึงทำให้วิริยะคือความเพียรปฏิบัตินั้นถูกต้อง

คือว่าละอกุศลที่มีโทษที่เป็นฝ่ายดำ

แต่ปฏิบัติทำให้มีให้เป็นขึ้นในฝ่ายกุศล ที่ไม่มีโทษที่เป็นฝ่ายขาว ดั่งนี้

เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วการปฏิบัติจึงจะเป็นศีล จึงจะเป็นสมาธิที่เป็นตัวสัมมาสมาธิ

สมาธิอันถูกต้องไปโดยลำดับ จนถึงเป็นสมาธิที่ประกอบด้วยอุเบกขา

เมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว สมาธิดั่งนี้จึงเป็นบาทของปัญญาที่จะเป็นปัญญาในอริยสัจจ์ต่อไป

ปัญญาในกรรม

เพราะฉะนั้น ปัญญาในโพชฌงค์นี้จึงเป็นปัญญาในการปฏิบัติ เป็นปัญญาในกรรม

นำให้ปฏิบัติศีล ปฏิบัติสมาธิ และอบรมปัญญาด้วยเองนั้นให้ถูกต้อง

ในขั้นปฏิบัติ ในขั้นที่เป็นกรรมเป็นการกระทำ จนถึงได้สมาธิประกอบด้วยอุเบกขา

เป็นความสงบที่ตั้งอยู่ในภายใน และเป็นความสงบที่ประกอบด้วยความรู้ มีความรู้ที่ไม่ยึด

และมีความรู้ที่ปล่อยวาง ก็คือไม่ยึดและเป็นความรู้ที่สงบไม่วุ่นวาย

อันความรู้ที่มีความปล่อยวาง และเป็นความรู้ที่มีความสงบไม่วุ่นวายนี้

คือลักษณะของอุเบกขาอันประกอบอยู่ในสมาธิ

และเมื่อได้สมาธิดังนี้ จะเป็นอุปจาระสมาธิก็ตาม หรือที่ยิ่งไปกว่านั้นก็ตาม

ก็เป็นสัมมาสมาธิ สมาธิที่ถูกต้อง เป็นบาทของปัญญาในอริยสัจจ์

ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้สืบต่อจากโพชฌงค์

ฉะนั้นจึงสรุปในตอนนี้ว่า จะต้องมีปัญญาในการปฏิบัติ ปัญญาในกรรมก่อน

ซึ่งจะทำให้การ...

ทุกข์อริยสัจจ์

(เริ่ม ๒๔/๒) ได้ตรัสแสดงไว้ ก็ได้แก่ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์

ความรู้ในนิโรธความดับทุกข์ ความรู้ในมรรคทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

สภาวะทุกข์ ปกิณกะทุกข์

และก็ได้ตรัสแสดงอธิบายไปทุกข้อ ตั้งต้นแต่ข้อทุกข์

ก็ได้แก่ ทุกข์คือความเกิด ทุกข์คือความแก่ ทุกข์คือความตาย

อันเรียกว่าเป็น สภาวะทุกข์ ทุกข์ตามสภาพ

คือเป็นความทุกข์ที่มีขึ้นเป็นขึ้นตามเหตุปัจจัยของตนเอง

และก็ได้ทรงชี้ให้รู้จักทุกข์ทางใจ และทางกายอย่างอื่นต่อไป

ก็คือความโศกแห้งใจเป็นทุกข์ ความรัญจวนคร่ำครวญใจเป็นทุกข์

ความไม่สบายกายเป็นทุกข์ ความไม่สบายใจเป็นทุกข์ ความคับแค้นใจเป็นทุกข์

ทุกข์ทางใจและทุกข์ทางกายเหล่านี้ก็บังเกิดขึ้นแก่จิตใจและแก่กาย

เรียกว่าเป็น ปกิณกะทุกข์ คือเป็นทุกข์เบ็ดเตล็ดต่างๆ

ซึ่งมีอธิบายว่าทุกข์ที่บังเกิดขึ้นทางใจ

ก็บังเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว บังเกิดขึ้นอย่างนั้น บังเกิดขึ้นอย่างนี้

และทุกข์ซึ่งบังเกิดขึ้นทางกาย ก็มุ่งหมายถึงความเจ็บป่วยทางกาย

ที่บังเกิดขึ้นในเวลาที่มีโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อไม่มีโรคภัยไข้เจ็บก็เหมือนอย่างไม่เป็นอะไร

ก็เป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นบางครั้งบางคราวเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นจึงรวมเข้าในหมวดปกิณกะทุกข์ ทุกข์เบ็ดเตล็ด

แต่ว่าเมื่อเพ่งอย่างละเอียดแล้วก็มีตรัสแสดงไว้เหมือนกันว่า

แม้ทุกข์ทางกายอันเรียกว่าความเจ็บป่วย โรคภัยไข้เจ็บต่างๆนั้น

อันที่จริงนั้นย่อมมีประจำอยู่ตลอดเวลา จับพิจารณาดูที่ร่างกายอันนี้ก็จะเห็น

ว่ามีตัวอาพาธ มีพยาธิประจำอยู่ตลอด แต่โดยปรกตินั้นก็มีการบำบัดแก้ไขกันไปได้

อาการของพยาธิ หรือของโรค ของอาพาธจึงไม่ปรากฏ

เหมือนอย่างเมื่อนั่งนานๆ เมื่อย ก็เป็นความอาพาธทางกายอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ก็เปลี่ยนอิริยาบถเสียเมื่อยก็หาย เป็นรู้สึกสบาย

ซึ่งอันที่จริงความสบายนั้นปรากฏขึ้นก็เพราะมีการแก้ไขตัวทุกข์

ซึ่งนับว่าเป็นอาพาธหรือเป็นพยาธิความป่วยไข้ซึ่งมีอยู่เป็นประจำ

เพราะฉะนั้นเมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว แม้ความป่วยไข้ก็มีประจำอยู่ตลอดเวลา

แต่เพราะแก้ไขไปได้ก็ไม่ปรากฏ

แม้ความโศกเป็นต้น ซึ่งเป็นทุกข์ทางใจก็เหมือนกัน

เมื่อยังมีกิเลสอยู่ ก็ย่อมจะต้องมีโสกะปริเทวะเป็นต้น

ประจำอยู่ในจิตตลอดไปเหมือนกัน คืออาการของจิตที่ยังมีกิเลสนั้น

จะต้องมีความแห้งผากมีความรัญจวน มีความไม่สบายใจ มีความคับแค้นใจ

แต่ว่าเพราะเหตุว่าแก้ไขไปได้ ก็รู้สึกว่ามีความสุขใจ มีความสบายเพราะแก้ไขได้

เป็นครั้งเป็นคราวไป แต่ว่าอย่างละเอียดนั้นก็ยังมีอยู่นั่นเอง เพราะยังมีกิเลสอยู่

เพราะฉะนั้นเมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็เป็นทุกข์ที่มีอยู่ประจำเหมือนกัน

แต่ว่าเป็นทุกข์ที่แก้ไขไปได้เป็นครั้งเป็นคราว จึงปรากฏเป็นความสุขขึ้นมา

จึงทำให้รู้สึกว่าเกิดขึ้นเป็นบางครั้งบางคราวไม่เสมอไป

จึงได้จัดเข้าเป็นอีกหมวดหนึ่ง เป็นหมวดปกิณกะทุกข์

โสกะปริเทวะ

และต่อจากนั้นก็ได้ตรัสสรุปเข้ามาเป็น ๒ หมวด

คือความประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก กับความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก เป็นทุกข์

เป็นตัวทุกข์ที่ทรงชี้ถึงตัวเหตุประกอบไปด้วย

ก็คือทุกข์เพราะประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ทุกข์เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก

และตัวทุกข์จริงๆนั้นก็คือโสกะปริเทวะเป็นต้นนั่นแหละ

ซึ่งบังเกิดขึ้นเพราะความประจวบ กับความพลัดพราก

อันไม่เป็นไปตามความปรารถนานั้นเอง

ทุกขสมุทัย

เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสสรุปเข้าอีกเป็นข้อเดียว คือปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์

และเมื่อตรัสสรุปเข้าดั่งนี้แล้ว ก็จะเป็นอันว่าได้ทรงชี้ให้เชื่อมโยงไปถึงตัวสมุทัย

คือตัวความปรารถนา ซึ่งได้ตรัสไว้ในข้อสมุทัย อันเป็นอริยสัจจ์ข้อที่ ๒

และก็ได้ตรัสสรุปเข้าในขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการว่าเป็นทุกข์

ก็คือรูปอันเป็นที่ยึดถือ เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณอันเป็นที่ยึดถือ

ทั้ง ๕ นี้รวมเข้าเป็นรูปและนาม รูปก็คงเป็นรูป นามก็ได้แก่เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ

จึงรวมเข้าเป็นรูปและนามอันเป็นที่ยึดถือ

และก็เป็นอันว่าได้ทรงชี้เอาตัวอุปาทานคือความยึดถือ เป็นตัวสมุทัยคือเป็นตัวเหตุ

อันบ่งถึงว่าถ้าไม่ยึดถือก็ไม่เป็นตัวทุกข์ ซึ่งเกิดเพราะกิเลส

เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีความยึดถือก็ไม่ต้องมีโสกะมีปริเทวะเป็นต้น

และตัวขันธ์ ๕ หรือนามรูปนั้นเองก็ยังต้องมีสภาวะทุกข์ คือเมื่อเกิดก็ต้องมีแก่

ต้องมีตาย และก็ต้องมีป่วยเจ็บอันเป็นตัวพยาธิ แต่ก็ไม่ยึดถืออีกเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นแม้จะมีสภาวะทุกข์อยู่ ก็ไม่ยึดถือในสภาวะทุกข์นั้น

เพราะฉะนั้นจึงเป็นทุกข์แก่นามรูปหรือแก่ขันธ์ ๕ เอง

หรืออีกอย่างหนึ่งกล่าวได้ว่าเป็นคติธรรมดาของขันธ์ ๕ หรือนามรูปเอง

ซึ่งต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย เป็นคติธรรมดา หรือเป็นตัวธรรมดา

ไม่เป็นทุกข์ในอริยสัจจ์อันเกิดจากสมุทัยคือตัณหาอุปาทาน ดังที่กล่าวมานั้น

เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสแสดงทุกข์อริยสัจจ์นี้เป็นอริยสัจจ์ข้อแรก

แต่ว่าจะมีความรู้เข้าถึงสัจจะข้อนี้ได้ ก็จะต้องได้ปัญญาในการปฏิบัติในกรรม

อันเป็นข้อธัมวิจยะสัมโพชฌงค์มาก่อน และก็ได้สมาธิประกอบด้วยอุเบกขาเป็นบาท

แล้วก็น้อมจิตที่ประกอบด้วยสมาธิและอุเบกขานี้ไปพิจารณา จึงจะเห็นทุกข์ได้

ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป