• พิมพ์

พระกษิติครรภ์มหาปณิธานสูตร

พระสูตรว่าด้วยประณิธานและการปฏิบัติของพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์

แปลเป็นไทยโดย ธัมมนันทา สามเณรี

บริษัทส่องศยามจำกัดผลิต

บริษัทเคล็ดไทยจำกัด จำหน่าย

บทที่1 อิทธิฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

                ดังที่ได้สดับมา ครั้งหนึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพระพุทธมารดา ในเวลานั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีจำนวนนับไม่ถ้วน กับทั้งมหาโพธิสัตต์จากพุทธเกษตรต่างๆทั้งสิบทิศ มาประชุมพร้อมกันด้วยความสมัครสมานสามัคคี ต่างพากันชื่นชมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนี ในพระปรีชาญาณตลอดจนอำนาจอันประมาณมิได้ในการโปรดสรรพสัตว์ผู้เห็นผิดให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องทำความเข้าใจความแตกต่างในเรื่องพื้นฐานแห่งความสุขและความทุกข์ในโลกนี้ ต่างพากันมาเฝ้าพร้อมบริวาร เพื่อถวายสักการะแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

                พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแย้มพระสรวล เปล่งรัศมีแห่งความกรุณาอันมิอาจจะหยั่งได้ อีกทั้งพระปัญญาบารมี ทั้งเมตตาบารมี ทานบารมี เสียงแห่งความเป็นอิสระ เสียงแห่งการให้พร เสียงแห่งพระปัญญา กึกก้องกัมปนาทดุจเสียงราชสีห์คำราม เสียงกึกก้องดุจฟ้าร้องและยังมีเสียงอื่นๆที่หยั่งมิได้ สรรพสัตว์ทั้งหลายจากทศทิศ พากันมาแห่แหนเฝ้าพระพุทธองค์ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พวกเขาพากันมาจากสวรรค์ชั้นต่างๆ เช่นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ทั้งสี่ชั้นของทวยเทพ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ชั้นดุสิต ชั้นนิมานรดี ชั้นปรนิมิตสรสวดี พรหมบริสุทธิ์ พรหมปุโรหิต และชั้นของมหาพรหม อีกทั้งสวรรค์ชั้นอื่นๆอีกมากมาย

                ทวยเทพทั้งหลาย รวมทั้งนาคจากมหาสมุทร ก็มารวมอยู่ด้วยรวมทั้งจากโลกอื่น และโลกมนุษย์ เทวดาผู้รักษาท้องทะเล ท้องฟ้า พายุ แม่น้ำ ต้นไม้ เนินเขา พื้นดิน่น้ำพุ ผีนา ผีไร่ เทวดาที่รักษากลางวัน กลางคืน แม้จนวิญญาณที่รักษาอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนเปรต อสูร เปรตผู้หิวโหย ฯลฯ บรรดาเปรตใหญ่น้อยก็พากันมาแสดงความยินดีร่วมกัน

                ขณะนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้า รับสั่งกันพระมัญชุศรี พระธรรมราชว่า “บัดนี้เจ้าได้ทอดทัศนาในจิตเห็นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระโพธิสัตต์ ทวยเทพ นาค เปรต และภูตผีปีศาจทั้งจากโลกนี้และโลกอื่นมารวมกันอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เจ้ารู้ไหมว่า มีจำนวนเท่าใด

                พระมัญชุศรีกราบทูลพระพุทธเจ้า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า แม้ข้าฯพระพุทธองค์จะมีอิทธิฤทธิ์ที่ได้สั่งสมมาหลายชั่วกัป ข้าพระองค์ก็ยังมิอาจประมาณจำนวนได้พระเจ้าข้า”

                พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับสั่งกับพระมัญชุศรีว่า “แม้ว่าพระตถาคตจะใช้พระเนตรของพระพุทธเจ้าตรวจสอบดู พระตถาคตก็ยังระบุจำนวนที่แท้จริงของบรรดาทวยเทพเหล่านั้นมิได้ ทวยเทพและสรรพสัตว์เหล่านี้เป็นผู้ที่พระกษิติครรภ์ได้ชักนำให้เข้าสู่มรรควิถีมาเป็นเวลาช้านาน บ้างก็เป็นผู้ที่จะได้รับการชี้นำจากพระองค์ให้เข้าสู่ความหลุดพ้นในอนาคต”

                พระมัญชุศรีกราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า แม้ข้าพระองค์จะสั่งสมบุญบารมีและได้เข้าถึงปัญญาอันเป็นเยี่ยม แต่ข้าพระองค์ก็มิอาจปฏิเสธได้ และจะน้อมรับคำของพระโลกนาถเจ้า แต่ผู้ที่ยังปฏิบัติอยู่ในอรหันตภูมิ เทวภูมิ ผู้ที่ยังนับถือนาค และมนุษย์ที่ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏในอนาคต อาจจะยังมีข้อสงสัยในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงยืนยันว่าเป็นพระธรรม เทวดานาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร กินนร มโหรค และสัตว์ใน 8 ภูมิ ที่จะอุบัติขึ้นในอนาคต จะยังลังเลสงสัย ทั้งที่พระพุทธองค์ได้ประกาศพระธรรมชัดเจนแล้วก็ตามที และหากพระองค์บังคับบให้พวกเขาเชื่อ ก็จะเกิดผลร้ายในการที่พวกเขาจะเผยแผ่คำสอนผิดๆ ดันนั้น ข้าพระองค์จึงหวังว่า พระโลกนาถเจ้า จะได้ทรงไขแสดงพระประณิธานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ เมื่อตอนที่พระองค์ท่านเริ่มงานโพธิสัตต์ และทรงพากเพียรอย่างไร จนประสบความสำเร็จ และมีผู้คนเชื่อฟังพระองค์เช่นนี้ พระเจ้าข้า”

                พระพุทธองค์รับสั่งกันพระมัญชุศรีว่า “สมมุติว่า จำนวนใบหญ้า ไม้ ป่า ทุ่งนา เนินเขา ก้อนหิน ผงธุลี วัตถุธาตุทั้งหลายทั้งปวง ...แม้จะมีจำนวนมากมายประดุจเม็ดทรายในคงคานที และแม้เม็ดทรายแต่ละเม็ด อาจจะเทียบได้กับ 1 กัป สิ่งที่พระองค์สร้างสมเพื่อการสร้างทศบารมีนั้นก็ยังมีจำนวนมากกว่านั้นเสียอีก จำนวนมากมายมหาศาลเกินกว่าที่จะใส่เป็นคำพูด แม้กระนั้นบุญบารมีที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ที่ได้สร้างสมมาก็ยังมากกว่า ทั้งในสมัยที่พระองค์เป็นพระอรหันต์และเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

                มัญชุศรีเอย พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้าพระองค์นี้ ประณิธานยของพระองค์ท่านก็ดีบารมีของพระองค์ท่านก็ดี มากมายเกินคณานับหากสรรพสัตว์ทั้งชายและหญิงจุติขึ้นในอนาคต หากตั้งใจฟังและสวดสรรเสริญพระนามของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า ถวายความเคารพโดยการสวดพระนามของท่าน ถวายสิ่งสักการะต่อพระองค์ท่านวาดภาพหรือแกะสลักพระรูปของท่าน พวกเขาก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ถึง 100 ชาติ(เป็นสวรรค์ชั้นที่ 2 ในบรรดาสวรรค์ 6ชั้น และจะไม่ต้องตกลงสู่อบายภูมิทั้งสามอีกเลย

                มัญชุศรีเอย พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้าพระองค์นี้ ได้เคยเกิดเป็นบุตรของชายผู้ที่น่าเคารพเลื่อมใส หลายกัปป์ก่อนหน้านี้ ในสมัยที่ท่านตั้งประณิธานครั้งแรกนั้น เป็นสมัยของพระพุทธเจ้าสิงหราช กุลบุตรคนนี้เห็นรูปลักษณ์ของพระพุทธเจ้าแล้วบังเกิดความเลื่อมใส และได้ทูลถามว่าเมื่อครั้งที่ยังเป็นพระโพธิสัตต์นั้น พระองค์องค์ได้ทรงตั้งประณิธานประการใดจึงมีรูปลักษณ์งดงามดุจเทพเช่นนี้ พระพุทธองค์จึงทรงสอน กุลบุตผู้นี้ว่า หากเจ้าประสงค์จะมีรูปร่างลักษณะเช่นนี้ เจ้าจะต้องตั้งใจและมีความเพียรพยายามที่จะไถ่ถอนความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ทั้งปวง และพากเพียรปฏิบัติเช่นนี้ต่อเนื่องกันหลายภพหลายชาติ

                “พระสิงหราชพุทธเจ้าได้ทรงสอนกุลบุตรนั้น ให้ตั้งประณิธานว่าข้าฯขอตั้งประณิธานที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์จากอบายทั้ง 6 ภูมิ และจะใช้กุศโลบายในการขี้น้ำให้สรรพสัตว์เหล่านั้นเข้าถึงซึ่งความหลุดพ้นเป็นจำนวนหลายกัปป์หลายกัลป์ ก่อนที่ตัวของข้าฯเองจะบรรลุพระนิพพาน กุลบุตรนั้นตั้งประณิธานต่อพระพุทธองค์ด้วยความมั่นคงในจิต จากนั้นเป็นเวลาหลายกัปนับจำนวนไม่ถ้วย พระองค์ก็ยังพากเพียรทำงานของพระโพธิสัตต์อยู่

“ในเวลานานมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งมี พระนามว่าสมาธิพุทธบุปผา ได้ตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลาหลายล้านกัป มีวิธีการ 3 ขั้นตอนในการถวายความเคารพต่อพระพุทธองค์ โดยประการแรกถวายความเคารพต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ที่มีร่างมนุษย์) โดยการถวายความเคารพต่อพระพุทธรูป (หรือรูปแทนพระองค์) และโดยการประกาศศรัทธาและถวายสักการะ ในขั้นที่สองของการถวายความเคารพต่อพระพุทธองค์ มีเด็กหญิงพรามหณ์คนหนึ่ง ที่ได้สร้างบุญกุศลไว้เป็นอันมากแต่อดีตชาติ นอกจากเคารพและให้เกียรติผู้อื่นแล้ว เธอยังได้รับพรได้รับความคุ้มครองจากทวยเทพนับตั้งแต่ที่เธอตั้งใจบำเพ็ญ

ทานบารมี แต่มารดาของเธอไม่มีใจเป็นกุศล และมักจะกล่าวให้ร้ายพระรัตนตรัย แม้ว่า ธิดาประเสริฐ ตามที่มีคนเรียกเธอ พากเพียรพยายานอย่างยิ่งที่จะขัดเกลาให้มารดาเกิดสัมมาทิฏฐิ แต่มารดาก็ยังเต็มไปด้วยอกุศลไม่เชื่อฟังคำชี้แนะของธิดา

                ครั้นตายไป มารดาก็ตกลงไปในอเวจี เป็นนรกขุมที่ 8 ที่ต้องถูกลงโทษทัณฑ์โดยไม่หยุดหย่อน ธิดาพราหมณ์ผู้นี้ตระหนักดีว่ามารดามิได้เชื่อในกฎแห่งกรรม ได้กระทำบาปไว้มากมายในชีวิต และด้วยอกุศลกรรมนั้น แน่นอนที่สุดจะต้องตกลงไปในนรกเพื่อรับกรรมรับความทุกข์ยากโดยไม่หยุดหย่อน ตระหนักในวิบากกรรมของมารดา ผู้เป็นธิดาขายทรัพย์สมบัติที่มีค่าทั้งหลาย ทำการบูชาด้วยดอกไม้ และข้าวของต่างๆทั้งที่สถูปเจดีย์ และถวายสักการะแด่พระพุทธเจ้าสมาธิพุทธบุปผา พระพุทธรูปนั้นแกะสลักอย่างงดงามยิ่ง เธอตั้งใจน้อมจิตสักการะพระพุทธองค์ และตั้งใจว่า พระพุทธองค์ผู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญาญาณ หากพระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ในโลกนี้ลูกอยากจะทูลถามว่า มารดาของลูกตกไปอยู่ที่ใด ลูกมั่นใจว่าพระองค์จะทรงหยั่งรู้ได้ว่าเธออยู่ที่ใด เมื่อคิดเช่นนั้น เธอคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพุทธรูป  และร่ำไห้อยู่เป็นเวลานาน

                ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงมาจากภายนอกพูดกับเธอว่า “ลูกหญิงผู้ประเสริฐ ไม่ต้องร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ตถาคตจะบอกเจ้าว่า มารดาของเจ้าไปอยู่ที่ใด” ธิดาพราหมณ์ยกมือขึ้นพนมด้วยความเคารพ ตอบเสียงนั้นไปว่า “เทพเจ้าองค์ใดที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ใจของลูก นับแต่ที่มารดาของลูกตายไป แม้ลูกจะสวดมนต์ให้แม่ทั้งเช้าและเย็น แต่ลูกก็มิอาจจะหยั่งรู้ได้ว่าแม่ไปเกิดที่ใด” เสียงนั้นตอบกลับมาว่า “ตถาคตคือพระพุทธเจ้าที่ลูกมีศรัทธาเลื่อมใส ตถาคตรู้ว่าลูกมีความรักความห่วงใยมารดาของเจ้า ต่างจากลูกคนอื่นๆ ดังนั้นตถาคตจึงลงมาเพื่อช่วยเจ้า” ธิดาพราหมณ์ตั้งใจฟังพระดำรัส เธอทอดตัวลงพื้นร่ำไห้เป็นอันมาก เธอกลัวว่าเธอเองจะตายไปจากโลกมนุษย์ เธอร้องขอให้พระพุทธองค์ได้โปรดเธอให้หายจากความกังวลใจ ว่ามารดาของเธอไปเกิดที่ใด พระพุทธองค์รับสั่งว่า “ธิดาผู้ประเสริฐแล้วท่อพระนามของพระตถาคต เจ้าก็จะได้รู้ว่ามารดาของเจ้าไปเกิด ณ ที่ใด”

                “ธิดาพราหมณ์ถวายสักการะแล้วกลับบ้าน ทำตามที่พระพุทธองค์ทรงมีพระเมตตาชี้แนะ เมื่อเธอได้ทำสมาธิไปชั่วหนึ่งวันกันหนึ่งคืนเธอพบว่าตัวของเธอได้มายืนอยู่ริมฝั่งทะเล มีสัตว์ที่มีผิวหน้าเป็นเหล็กพากันเดินอย่างเร่งรีบไปมา เดินขึ้น เดินลง เดินจากตะวันออกไปตะวันตก ตะวันตกไปตะวันออกในน้ำทะเลที่กำลังเดือดพล่าน เธอเห็นผู้คนทั้งหญิงชายจำนวนนับแสนนับล้าน ตะเกียกตะกายอยู่ในคลื่นมหาสมุทร พยายามที่จะหลบหนีจากสัตว์ที่มีผิวหน้าเป็นเหล็กที่ดุร้ายนอกจากนั้นเธอได้เห็นยักษ์ปรากฏอยู่ทั้งบนดินและในอากาศ ทั้งดุร้ายและกินคน พวกนี้มีเท้า มีตา และศีรษะจำนวนมาก ทั้งฟันก็แหลมคม เหมือนคมหอกคมดาบ ยักษ์ที่ดุร้ายพวกนี้คอยไล่หญิงชายเหล่านั้น เข้าไปหาสัตว์ที่ดุร้าย  และพวกเขาเองก็กราดเกรี้ยวกับหญิงชายเหล่านั้น ภาพที่เธอได้เห็นนั้นน่ากลัวมาก เธอไม่กล้ามองนาน ทั้งๆที่ภาพที่เธอเห็น เป็นไปด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้าก็ตาม ขณะนั้นมีพระราชาแห่งภูตน้ำ มีพระนามว่า ไร้พิษ ได้เข้ามาเชื้อเชิญเธอ โดยรับสั่งว่า “ธิดาผู้ประเสริฐ เธอเป็นพระโพธิสัตต์ ทำไมถึงลงมาในสภาพที่เช่นนี้” ธิดาพราหมณ์จึงถามว่า เธออยู่ ณ ที่ใด ราชภูตไร้พิษตอบว่า “ที่นี่เป็นมหาจักรวาล” (มหาสมุทรแรกทางตะวันตก) ธิดาพราหมณ์จึงบอกว่า “ดิฉันได้รับคำบอกเล่ามาว่ามีนรกอยู่ภายในที่ห้อมล้อมด้วยกำแพงเหล็กใช่หรือไม่” ราชภูตไร้พิษตอบว่า ”ถูกต้องแล้ว” ธิดาพราหมณ์จึงถามต่อว่า “แล้วทำไมดิฉันจึงลงมาในนรกได้” ราชภูตไร้พิษอธิบายว่า น่าจะเป็นอำนาจของพระพุทธเจ้า หรือเป็นเพราะกุศลกรรมของนางเอง เพราะมิฉะนั้นแล้ว เธอจะลงมายังมหาจักรวาลไม่ได้ ธิดาพราหมณ์จึงถามต่อไปว่า น้ำในทะเลเดือดเช่นนั้นและทั้งมีความบาปอยู่จำนวนมาก รวมทั้งสัตว์ที่ดุร่าย

                ราชภูตไร้พิษตอบว่า “คนบาปเหล่านั้นเป็นคนที่ตายจากโลกมนุษย์ลงมาใหม่ หลังจากผ่านไป 49 วัน หากไม่ปรากฏว่าบุตรหลายได้ทำบุญทำทานเพื่อช่วยให้พวกเขาพ้นทุกข์ ทั้งในเวลาที่มีชีวิตอยู่คนเหล่านี้ก็ประกอบแต่กรรมชั่ว มิได้เคยทำประโยชน์ใดๆเพื่อมนุษยชาติ ประกอบแต่กรรมชั่วอย่างนั้นอย่างนี้ อั้นมีระยะทางยาวไกล นับเป็นโกฏิไมล์ไปทางทิศตะวันออก ยังมีทะเลอีกแห่งหนึ่ง ที่คนบาปจะต้องถูกลงโทษเป็นสองเท่า ทางตะวันออกจะมีอีกทะเลหนึ่ง และถัดไปก็จะมีอีกทะเลหนึ่ง ที่คนบาปจะต้องรับโทษมหันตโทษ

                “ทะเลทั้งสามที่กล่าวมานี้ คือทะเลแห่งความทุกข์ ผู้ที่ทำบาปทางกาย วาจา ใจ จะถูกโยนลงในทะเลนี้เพื่อเป็นการลงโทษ เพราะความชั่วบาปของเขา

                ธิดาผู้ประเสริฐถามราชภูตไร้พิษว่า “นรกอยู่ไหนกันคะ” ราชภูตไร้พิษตอบว่า “ภายในทะเลแห่งความทุกข์นี้ มีนรกขุมต่างๆนับจำนวนพัน มีนรกใหญ่ 18 ขุม และนรกย่อยอีก 500 แห่ง ที่คนบาปจะต้องลงไปรับโทษทัณฑ์ นอกจากนั้นก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ เพราะไม่ได้ทำผิดร้ายแรงในช่วงชีวิต”

ธิดาผู้ประเสริฐทูลราชภูตไร้พิษว่า ”มารดาของดิฉันตายไปเมื่อไม่นาน ดิฉันอยากทราบว่าท่านถูกส่งไปที่ใด”

ราชภูตไร้พิษถามธิดาผู้ประเสริฐว่า “มารดาของเจ้าประกอบกรรมใดในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่”

ธิดาผู้ประเสริฐตอบว่า “สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น มารดาเป็นคนที่มีทิฏฐิต่อพระรัตนตรัย และได้พูดจาล่วงเกินอยู่ เธอพยายามที่จะยึดถือในพระพุทธเจ้าแต่ไม่มีศรัทธาพอเพียง เพิ่งสิ้นไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง และดิฉันไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่ใด” ราชภูตไร้พิษถามต่อว่า “มารดาของเธอชื่ออะไร” ธิดาผู้ประเสริฐตอบว่า” ทั้งบิดามารดาเป็นพราหมณ์ บิดาชื่อ คีลาเช็นเช็น และมารดาชื่อยวดทีลี่”

ราชภูตไร้พิษตอบธิดาผู้ประเสริฐโดยการพนมมือแล้วกล่าวว่า “ธิดาผู้ประเสริฐ ไม่ต้องวิตกกังวล ให้กลับบ้านได้ด้วยใจเบิกบาน มารดาของเจ้าได้ขึ้นสวรรค์ไปแล้วเมื่อ 3 วันก่อน ด้วยความกตัญญูกตเวทิตาของเจ้า ที่ได้ถวายดอกไม้พร้อมเครื่องสักการะแก่พระสมาธิพุทธบุปผาพุทธเจ้า ทำให้มารดาของเจ้าหลุดพ้นจากความทุกข์ เมื่อแจ้งข่าวเรื่องมารดาให้ธิดาผู้ประเสริฐได้รับทราบแล้ว ราชภูตไร้พิษก็พนมมือแล้วลาไป ธิดาผู้ประเสริฐครั้นได้รับข่าวดีก็รู้สึกว่าตนกังวลไปโดยใช่เหตุ เธอคุกเข่าลงกราบพระสมาธิพุทธบุปผาพุทธเจ้า และตั้งประณิธานว่า “ลูกจะพากเพียรพยายามที่จะช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้ข้าพ้นโอฆสงสาร ต่อไปในภายภาคหน้าอีกหลายกัปหลายกัลป์”

บทที่ 2

ที่ประชุมของภาคต่างๆ ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์

                ในเวลานั้น จำนวนภาคต่างๆของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ขึ้นมาจากนรกมีจำนวนมหาศาลมาประชุมกันที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แน่นขนัด และสรรพสัตว์ทั้งหลายพากันถือดอกไม้และธูปเทียน เพื่อมาสักการะพระผู้ทรงคุณยิ่ง สรรพสัตว์เหล่านี้ ครั้งหนึ่งเคยได้รับทุกข์ทรมานเป็นที่สุด เป็นเวลาชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ในโอฆสงสารแห่งการเวียนตายเวียนเกิดด้วยพระมหากรุณาและบารมีจากประณิธานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า พวกนี้จึงหันมารับนับถือพระรัตนตรัยและได้บรรลุนิพพานในที่สุด พวกเขาจึงพากันมาประชุมพร้อมกัน ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พากันมาเฝ้าแหนเพื่อแสดงความรารวะอย่างสูงสุดและพากันมาชื่นชมบุญบารมีของพระผู้ทรงคุณแห่งโลก

                พระศากยมุนีพุทธเจ้า ทรงยื่นพระหัตถ์สีทองเพื่อประทานพรแก่ภาคต่างๆของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ และรับสั่งว่า “ขอแสดงความชื่นชมที่ประสบความสำเร็จในการนำพาสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นโอฆสงสารสู่นิพพาน ในความจริงแล้วพระตถาคตก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะโปรดสรรพสัตว์ ไม่ว่าพวกเขาจะฉลาดหรือโง่เชลา เพื่อให้เข้าสู่สัมมาทิฏฐิ และได้พบพระธรรม แม้ว่าตถาคตจะเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด แต่ในนิบคนก็จะมีสักคนหนึ่งหรือสองคนที่โปรดไม่ได้ ตถาคตจึงขอให้ท่านได้ช่วยสรรพสัตว์ที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ได้โปรดมาแล้วให้ได้ถึงซึ่งความหลุดพ้น มีคนบางคนที่ฉลาดมีปัญญา ก็จะสามารถกลับใจได้หลังจากที่ได้ฟังธรรมของพระตถาคต แต่คนบาปที่ด้วยปัญญาจะกลับใจได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอบรมสั่งสอนเป็นเวลานานสำหรับคนที่หัวดื้อก็ยากที่จะคาดหวังศรัทธาจากพวกเขาแม้จะมีอุปสรรคใดๆก็ตาม ตถาคตก็เพียรพยายามที่จะทำให้สรรพสัตว์ผู้ทุกข์ยากเหล่านี้ได้กลับใจนำไปสู่ความหลุดพ้น โดยการใช้รูปต่างๆ ตถาคตได้ใช้ภาคผู้หญิง ภาคผู้ชาย เป็นเทพ เป็นวิญญาณ เป็นภูตผีปีศาจ เป็นภูเขา ป่าไม้ ลำธาร แม่น้ำ สระน้ำ หรือภาคใดๆก็ตาม เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ เพื่อที่จะช่วยให้เขากลับใจโดยไม่มีข้อยกเว้น บางครั้งตถาคตก็ต้องแปลงเป็นจักรพรรดิ หรือพระพรหม เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นกษัตริย์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นขาราชการชั้นสูง เป็นภิกษุ หรือภิกษุณี เป็นอุบาสก อุบาสิกา เป็นพระสาวก เป็นพระอรหันต์ เป็นพระปัจเจกพุทธ หรือเป็นพระโพธิสัตต์ เพื่อที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติ ตถาคตมิได้โปรดสรรพสัตว์ลำพังในภาคของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ท่านก็คงจำได้ว่าตถาคตอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ ในการรื้อสัตว์ขนสัตว์แม้ผู้ที่หัวดื้อหัวรั้นเพื่อให้เขาได้เข้าถึงความหลุดพ้น คนที่หัวดื้อก็ยังคงมีอยู่ และหากเขาต้องถูกส่งลงไปในยมโลกเพื่อรับโทษ ขอให้ท่านระลึกด้วยว่า ตถาคตขอร้องให้ท่านได้ตั้งใจที่จะช่วยพวกเขาเข้าถึงฝั่งพระนิพพานเข้าสู่การตรัสรู้จนกว่าจะถึงมัยของพระศรีอริยเมตไตรย พระพุทธเจ้าในอนาคตจะได้ลงมาตรัสในโลกนี้

                ในขณะนั้น ภาคต่างๆของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ที่มาจากจักรวาลต่างๆรวมกันเข้าเป็นองค์เดียว อสุชลคลอพระเนตร ทูลพระพุทธองค์ว่า”พระผฆู้มีพระภาคได้ทรงพระเมตตา ที่ได้ประทานอิทธิฤทธิ์และปัญญาทางธรรมขั้นโลกุตระแก่ข้าพระองค์มาหลายกัปป์หลายกัลป์ขอให้ปางต่างๆของข้าพระองค์ประสบความสำเร็จครอบคลุมไปสู่จักรวาลต่างๆ เพื่อนำสรรพสัตว์ไปสู่ความหลุดพ้นอย่างแท้จริง แม้ว่ามนุษย์จะยังไม่มีความสนใจแม้น้อยนิดที่จะสร้างกุศลกรรม ข้าพระองค์ก็จะเพียรพยายามที่จะทำให้เขากลับใจ อย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะนำประโยชน์สุขมาให้ทุกคน ขอพระองค์อย่าทรงได้ท้อถอยในอกุศลกรรมของสรรพสัตว์ ข้าพระองค์จะรับหน้าที่ในการที่จะช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์จนข้ามพ้นสู่ฝั่งพระนิพพาน

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทูลขอร้องมิให้พระพุทธองค์ทรงท้อถอยกับอกุศลกรรมของสรรพสัตว์ แท้ในกาลต่อไปข้างหน้า ได้ทรงกล่าวประณิธาน 3 ครั้ง พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงยินดีและรับสั่งว่า “ขอพรจงบังเกิดแก่ท่าน ตถาคตชื่นชมความตั้งใจมั่นของท่าน และขอชื่นชมต่อความพยายามของท่าน ที่จะเยียวยาโลกมนุษย์ และขอให้ท่านได้บรรลุพุทธภูมิเมื่อภาระหน้าที่ของท่านจบสิ้นลง”

บทที่ 3

การสังเกตดูวิบากกรรมของมนุษย์ทั้งปวง

                ขณะนั้นพระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา ทูลถามพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า ด้วยความเคารพโดยการประณมหัตถ์ทั้งสองแล้วทูลว่า “มนุษย์ผู้อยู่ในสังสารวัฏประกอบอกุศลสิ่งชั่ว เขาจะได้รับผลของกรรมอย่างไรหรือ

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทูลตอบว่า “โลกนั้นมีจำนวนหลายล้านบางแห่ง ท่านก็จะพบนรกเหรือกันในโลกสังสารวัฏ บางแห่งไม่มีนรกเช่นในพุทธเกษตร สุขาวดี บางแห่งมีผู้หญิง บางแห่งไม่มีผู้หญิง บางแห่งท่านก็จะสามารถได้ยินเสียงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่บางแห่งผู้คนก็ไม่มีโอกาสได้ยินพระธรรมของพระพุทธองค์ บางแห่งมีพระสาวก อรหันต์ ปัจเจกพุทธเจ้า ฯลฯแต่บางแห่งก็ไม่มี ดังนั้น ความทุกข์ในนรกต่างๆจึงมากมาย และไม่สามารถบรรยายในรายละเอียดได้”

                พระนางสิริมหามายาจึงทูลถามขึ้นอีกครั้งว่า “หม่อมฉันขอทราบเฉพาะความทุกข์ในรูปแบบต่างในโลกแห่งสังสารวัฏ”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้าจึงทูลว่า “พระมารดาผู้ประเสริฐหม่อมฉันของทูลโดยย่อ ผลของกรรมสำหรับมนุษย์ในโลกมนุษย์นั้นมากมายมหาศาลนัก ผู้ที่ไม่เชื่อฟังบิดามารดา สมาคมกับคนชั่ว จะตกนรกอเวจี และจะต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลานานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ โดยไม่มีทางที่จะหลบหนีได้ ผู้ที่ทำร้ายพระพุทธองค์ โดยการทำลายรูปเครรพของพระองค์ก็ดี พูดจาดูถูกพระรัตนตรัยก็ดี ไม่เคารพในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี จะลงนรกอเวจีชั่วกัปป์ชั่วกัลป์คนที่ทำอันตรายแก่วัดวาอาราม ประพฤติละเมิดพรหมจรรย์ของพระภิกษุ ภิกษุณี พรากชีวิตผู้อื่นในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็จะตกลงไปในอเวจี ทนทุกข์ยากตลอดไป ใครก็ตามที่ปฏิบัติตามวิถีของพระภิกษุโดยไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรมด้วยความบริสุทธิ์ใจ ชี้นำผู้อื่นทำกรรมชั่วต่างๆจะตกนรกอเวจีได้รับโทษทัณฑ์ประเภทเดียวกัน คนที่ชอบขโมยของวัด เช่นเงิน ข้าว อาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือข้าวของทำนองเดียวกัน จะตกลงไปในนรกอเวจี ทุกข์ทรมานไม่จบสิ้น

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้าทูลย้ำกับพระนางสิริมหามายาว่า “คนบาปที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นจะได้รับโทษทัณฑ์โดยมิได้ว่างเว้น”

                พระนางสิริมหามายา ทูลถามว่า “นรกอเวจีนั้นหมายความว่าอย่างไรเพคะ”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า ทรงอธิบายว่า “พระมารดาผู้ประเสริฐ ในมหาจักรวาลนั้นมีนรกอยู่มากมาย นอกจาก 8 ขุมใหญ่ แล้วยังมี 500 ขุมย่อย และอีก 1000 ขุม ต่างมีชื่อเรียกต่างๆกัน นรกอเวจี หมายถึงขุมที่มีกำแพงเหล็กกั้น กว้างถึง 8 ล้านไมล์ และสูง 1 ล้านไมล์ นรกนี้มีไฟลุกท่วมตลอดเวลามีนรกอื่นๆต่อกันไป ต่างมีชื่อเรียกต่างกันเฉพาะนรกขุมนี้เรียกว่าอวเจี ในนรกอเวจีมีเนื้อที่ 8000ตารางไมล์  นรกนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็ก มีเปลวไฟลุกอยู่ตลอดเวลา มีสุนัขและงูเหล็กที่วิ่งจากตันออกไปจรดตะวันตก นอกจากนี้ยังมีเตียงเหล็ก คนที่ตกลงไปที่นั่นก็จะต้องรับกรรมตามที่ตนก่อไว้ มียักษ์ที่มีนัยน์ตาเหมือนดวงไฟ มีมือเหมือนอุ้งเล็บเหยี่ยวที่คอยลงโทษคนบาปด้วยการใช้อุ้งเล็บตะกาย ยักษ์คอยทิ่มแทงคนบาป จับโยนขึ้นไปแล้วให้ตกลงมาจนตาย มีนกเหยี่ยวเหล็กที่คอยจกนัยน์ตาคนบาป งอเหลี่ยมคอยขดรัดคอคนบาป เล็บที่ยาวและแหลมทิ่มแขนขา ลิ้นก็จะถูกลากออกมาด้วยคีมเหล็ก แล้วเอาเลื่อยตัดลำไส้ น้ำเหล็กที่ร้อนๆถูกกรอกเข้าไปในปาก ลวดเหล็กร้อนเอามารัดตัว คนบาปแต่ละคนจะถูกลงโทษตามอกุศลกรรมที่ตนทำไว้ เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในนรกนั้นชั่วกัปชั่วกัลป์ โดยไม่มีทางหนี เมื่อสิ้นสุดโลกนี้ คนบาปจะถูกขนย้ายถ่ายเทไปโลกอื่น และต้องรับโทษทัณฑ์ต่อไปในโลกใหม่

                การลงโทษในนรกอเวจีจะเป็นไปตามที่ว่านี้ โดยมีกฎ 5 ข้อ

                1 คนบาปจะถูกลงโทษทั้งกลางวันกลางคืน ชั่วกัปชั่วกัลป์โดยไม่มีหยุดพัก เป็นความทุกข์ทรมานที่ไม่รู้จบ

                2 จะถูกขึงอยู่บนเตียงทรมาน ในรูปแบบใดแบบหนึ่ง โดยไม่มีกำหนด

                3 การถูกลงโทษด้วยอาวุธ ได้แก่ ล้อมเหล็ก ไม้เหล็ก งูเหล็ก เหยี่ยวเหล็ก สุนัขจิ้งจอกเหล็ก สุนัขเหล็ก เลื่อยเหล็ก ค้อนเหล็ก กระทะเหล็ก ลวดเหล็ก ลาเหล็ก ม้าเหล็ก ลูกตุ้มเหล็ก และเหล็กเหลว ฯลฯ ไม่มีประมาณ

                4 ไม่ว่าหญิงหรือชาย ผู้ดีหรือไพร่ เด็กหรือแก่ รวยหรือจน ภูตหรือปีศาจ หรือเทวดา ก็จะต้องได้รับกรรมตามวิบากของตน โดยไม่แตกต่างกัน

                5 เมื่อตกในนรกนี้ จะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ โดยการลงโทษแบบต่างๆทั้งกลางวันกลางคืน โดยไม่มีพัก และไม่มีทางหนี จนกว่าจะหมดกรรม

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทูลพระพุทธมารดาว่า “นี่เป็นคำอธิบายนรกโดยสังเขป แม้เพียงจะเอ่ยชื่อขุมนรกต่างๆเหล่านี้ ก็จะต้องใช้เวลานานถึง 1 กัป”

                หลังจากที่พระนางสิริมหามายาได้ฟังคำอธิบายจากพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ พระนางพนมมือลาไปด้วยความเคร้าพระทัย

บทที่ 4

                ขณะนั้น พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ได้กราบทูลพระศากยมุนีพุทธเจ้าว่า “พระโลกนาถเจ้า ด้วยโลกุตรญาณของพระองค์ ข้าพระองค์จึงสามารถแปลงเป็นภาคต่างๆไปทั่วจักรวาลต่างๆนับจำนวนล้าน เพื่อโปรดสรรพสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยากให้หลุดพ้น ด้วยพระมหากรุณาของพระพุทธองค์ ตลอดจนบุญฤทธิ์ของพระองค์ ที่ทำให้ข้าพระองค์สามารถปรากฏในภาคต่างๆได้ ข้าพระองค์ขอตั้งใจมั่นถวายสัจวาจาว่าจะช่วยปลดเปลื้องสรรพสัตว์ออกจากกองทุกข์ และนำพวกเขาเข้าสู่ความหลุดพ้น ข้าพระองค์เต็มใจจะทำงานหนักจนตราบเท่ายุคของพระศรีอาริยเมตไตรย ที่จะมาตรัสในโลกนี้ ขอพระองค์อย่างได้ทรงกริ่งเกรงพระทัย”

                พระศากยมุนีรับสั่งกันพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ว่า “อำนาจแห่งการรับรู้ของปุถุชนในสังสารวัฏยังไม่มั่นคง บางทีก็ทำกุศล แต่บางทีก็ยังทำสิ่งที่เป็นอกุศล และพวกเขาก็ต้องได้รับวิบากรรมตามการกระทำของตน เขาจะต้องเวียนตายเวียนเกิด จะต้องถูกทดสอบในสภาพต่างๆในทะเลนรกอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ พวกเขาจะต้องตกอยู่ในภพใดภพหนึ่งในห้าอย่าง คือ

1 หมนุษย์ 2 สัตว์ 3 สัตว์นรก 4 เปรต 5 อสูร

                เหมือนกันปลาที่จะต้องติดตาบ่ายในท้ายสุด จะถูกปล่อยแล้วก็จะถูกจับขึ้นมาอีก

                พระตถาคตจึงห่วงใยสรรพสัตว์เหล่านี้ แต่ตามที่ท่านตั้งประณิธานแน่วแน่ ที่จะรับภาระหน้าที่ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ในการช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ผู้หลงผิดให้เข้าถึงฝั่งพระนิพพาน ตถาคคตก็วางใจได้

                ขณะนั้น เมื่อพระศากยมุนีพุทธเจ้า รับสั่งกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ มีพระมหาสัตต์พระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า อิศวรเทพ เข้ามาเฝ้าพระพุทธองค์แล้วกราบทูลว่า “พระโลกนาถเจ้า พระองค์ได้ทรงสรรเสริญปณิธานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้าที่ทรงอุทิศพระองค์ทำงานอยู่ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ ขอพระองค์ได้โปรดรับสั่งถึงภาระของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เด้วยเถิดพระเจ้าข้า

                พระองค์จึงมีรับสั่งกับอิศวรเทพว่า “ขอให้ตั้งใจฟังเถิด”

1 ครั้งหนึ่งเมื่อท่านเคยเป็นราชาแห่งเมืองเล็กๆ

                หลายกัปหลายกัลป์ก่อนหน้านี้ มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า วรวัชนะ ผู้ทรงพระปรีชาญาณ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้มีพระชนม์ยืนยาวถึง 6 ล้านกัป ก่อนที่พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นพระราชาครองเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ทรงมีพระราชาที่ครองเมืองข้างเคียงเป็นพระสหาย พระราชาทั้งสองต่างๆดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม แต่โชคร้ายที่พสกนิกรของเมืองพระราชาที่เป็นพระสหายนั้นประกอบอกุศลกรรมอยู่เสมอ พระราชทั้งสองก็ทรงปรึกษากัน หาวิธีที่จะทำให้พสกนิกรตั้งมั่นอยู่ในชีวิตอันเกษม พระราชาองค์แรกจะได้โปรดพสกนิกรของพระองค์ให้เข้าสู่ความหลุดพ้น เช่นกัน พระราชาอีพระองค์หนึ่งทรงตั้งประณิธานว่า พระองค์ขอที่จะไม่เป็นพุทธเจ้า จนกว่าจะได้ช่วยโปรดคนบาปจนพวกเขาหลุดพ้น พระราชาที่ตั้งประณิธานที่จะเป็นพระพุทธเจ้าคือสรวัชนะพุทธะ พระพุทธเจ้าผู้ทรงปัญญาเป็นเลิศ พระราชอีกพระองค์หนึ่ง ที่ทรงตั้งประณิธานไม่ขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจนกว่าจะได้ช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้เข้าถึงความหลุดพ้นคือพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์

2 ครั้งหนึ่งทรงเกิดเป็นธิดาพราหมณ์

                หลายกัลป์ที่ผ่านมา มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า ปทุมเนตรวิสุทธิ์พุทธเจ้า ผู้ทรงพระปรีชาญาณเป็นเลิศ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ทรงมีพระชนมายุยืนยาวถึง 40 กัป ในสมัยพุทธกาลนั้น มีพระอรหันต์พระองค์หนึ่ง บำเพ็ญเพียรในการที่จะสอนพระธรรมแก่สรรพสัตว์เพื่อให้กับใจประพฤติปฏิบัติชอบ มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อกงม๊อก แปลว่าจรัสเนตร จรัสเนตรได้ถวายเครื่องสักการะแด่พระอรหันต์ ท่านจึงถามนางว่านางปรารถนาสิ่งใด นางตอบว่า “ดิฉันพยายามทำบุญในวันที่มารดาตาย เพื่อให้มารดาได้พ้นทุกข์ ดิฉันอยากรู้ว่าบัดนี้มารดาอยู่ในภพภูมิใด” พระอรหันต์เกิดความเมตตาสงสาร จึงทำสมาธิเพื่อตรวจดู และรู้ว่ามารดาของนางตกลงไปในนรก ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส พระอรหันต์จึงไถ่ถามนางว่า ในเวลาที่มีชีวิตอยู่นั้น มารดาของพระนางดำเนินชีวิตอย่างไร จึงต้องตกนรกได้รับทุกข์โทษทัณฑ์แสนสาหัส นางจึงเล่าว่า “แม่เป็นคนชอบกินเนื้อเต่า โดยเฉพาะไข่เต่า ทั้งปลาทอดและต้ม แม่จึงได้ฆ่าสัตว์เป็นจำนวนมาก พระผู้เมตตา โปรดบอกดิฉันด้วยเถิดว่าดิฉันจะต้องทำอะไรเพื่อช่วยให้แม่พ้นทุกข์” พระอรหันต์ผู้เปี่ยมด้วยความกรุณา จึงแนะให้นางสวดมนต์พระนามพระปทุมเนตรวิสุทธิ์พุทธเจ้าด้วยความตั้งใจมั่นและด้วยความเคารพ และนางควรจะได้แกะสลักรูปพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นการสร้างบุญกุศลทั่วแก่มารดาและแก่ตัวนางเอง

                เมื่อรับฟังคำชี้แนะจากพระอรหันต์ นางจึงขายทรัพย์สมบัติที่มีค่า ด้วยเงินนั้น นางได้สร้างพระพุทธรูปไว้สักการะกราบไหว้บูชา จากนั้น นางก็ได้สวดมนต์อ้อนวอนอยากจะทราบว่ามารดาไปอยู่ ณ ที่ใด ฉับพลัน ในคืนหนึ่ง นางได้เห็นพระพุทธเจ้าปรากฏพระองค์ท่ามกลาง แสงโอภาสสีทองสุกปลั่งมีขนาดใหญ่ดุจเขาพระสุเมรุ และรับสั่งแก่นางว่า “มารดาของเจ้าจะได้ไปเกิดในครอบครัวของเจ้า เป็นบุตรชายของคนรับใช้ และจะพูดได้ทันทีที่รู้ร้อนรู้หนาวและรู้จักความหิว” ไม่ช้าไม่นาน คนรับใช้ในบ้านก็ให้กำเนิดบุตรชาย ทารกที่เกิดใหม่นั้นพูดได้หลังจากที่คลอดได้ 3 วัน ทารกที่เกิดใหม่นั้นพูดกับนางที่ร้องไห้อย่างขมขื่นว่า “ผู้ใดก็ตามทำอกุศลกรรมใดไว้ ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมโดยไม่มีข้อยกเว้น เราเป็นมารดาของเจ้า หลังจากที่แม่จากเจ้าไป แม่ตกลงไปใช้กรรมในนรกทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ด้วยกุศลกรรมที่ลูกทำแล้ว อุทิศไปให้แม่ ทำให้แม่ได้มาเกิดใหม่ในชาตินี้ เป็นบุตรชายของคนรับใช้ของลูก แต่ด้วยอกุศลกรรมที่ทำไว้ยังไม่หมดสิ้น แม่จะมีชีวิตอยู่ได้เพียง13 ปี และจะตกไปในนรกอีก ลูกเอ๋ย จะมีวิธีใดเล่าที่จะช่วยให้แม่ต้องพ้นจากความทุกข์ยากนี้” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้เป็นธิดาก็แน่ใจว่า บุตรชายของหญิงรับใช้นั้นเป็นมารดากลับมาเกิดใหม่จริงๆ

                ธิดาจึงกล่าวกับทารกน้อยว่า “ในเมื่อท่านเป็นแม่ของข้าในชาติก่อน ท่านจะต้องรู้ว่าท่านทำบาปทำกรรมใดไว้ จึงต้องตกลงไปในอบายภูมิ” ทารกน้อยตอบว่า “ฉันทำบาปไว้ 2 ประการหลัก โดยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และการพูดส่อเสียดด่าทอให้ร้ายคนอื่น ถ้าลูกไม่ได้ช่วยไว้โดยการบำเพ็ญเพียรในกุศลของเจ้า แม่จะไม่มีวันได้หลุดพ้นจากการถูกลงโทษทัณฑ์เลย” ธิดาจึงถามทารกต่อว่า “เมื่ออยู่ในนรกนั้น ท่านทุกข์ยากอย่างไรบ้าง” มารดาตอบว่า “ความทุกข์ทรมานนั้นแสนสาหัสแม่ไม่อาจจะพรรณนาได้ครบถ้วน แม้ว่าจะมีเวลาพันปี” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ธิดาก็ร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศก “จะทำอย่างไรที่จะช่วยให้แม่ไม่ต้องกลังไปรับทุกข์ทรมานอีก” ต่อมาบุตรชายของหญิงรับใช้ก็ตายลงเมื่ออายุได้ 13 ปี

                ในขณะนั้น ผู้เป็นธิดาก็ได้สวดมนต์อ้อนวอน “พระผู้มีพระภาคผู้เป็นโลกนาถแห่งทิศทั้งสิบ ขอได้โปรดรับฟังเสียงอ้อนวอนของลูกหากมารดาของลูกจะพ้นจากความทุกข์ยากในสามภพ จะได้มาบังเกิดในครอบครัวที่ยากจน หรือจะไม่ได้มาเกิดเป็นหญิงอีกเลยก็ตามที บัดนี้ลูกตั้งประณิธานต่อพระพักตร์ของพระปทุมเนตรวิสุทธิ์พุทธเจ้าว่า ลูกจะพากเพียรพยายามที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์จากขุมนรก รวมทั้งผู้ทุกข์ยากในสภาพที่ต่างๆจากจักรวาลทั้งหลาย และนำพวกเขาเข้าสู่ความหลุดพ้นลูกจะขอแสวงหาพระนิพพานก็ต่อเมื่อได้ช่วยสรรพสัตว์ให้ถึงพระนิพพานแล้ว”

                หลังจากที่ได้ตั้งประณิธานแล้ว พระปทุมเนตรวิสุทธิ์พุทธเจ้าได้รับสั่งกันนางว่า “เจ้าเป็นลูกที่มีความกตัญญูกตเวทิตาเป็นอย่างยิ่ง ข้าจึงได้ตั้งประณิธานเพื่อช่วยเหลือมารดาของเจ้า ขอให้มารดาของเจ้าได้ไปเกิดเป็นพรหมจาริน เป็นพราหมณ์หนุ่มจนมีอายุ 13 ปี จากนั้นจะได้ไปเกิดใหม่มีอายุถึง 100 ปี จากนั้นนางจะได้ไปเกิดในจักรวาลที่จะไม่ต้องมีความทุกข์ทรมานอีกต่อไป และที่นั่นเธอจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวชั่วกัปชั่วกัลป์ จนท้ายที่สุดได้บรรลุพุทธภูมิ จากนั้น เธอจะได้โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์มีจำนวนนับด้วยเม็ดทรายในคงคานที”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้า รับสั่งกับราชภูตว่า พระอรหันต์ผู้ช่วยจรัสเนตรให้ได้ช่วยเหลือมารดาของนางได้สำเร็จ คืออักษยมติโพธิสัตว์มารดาของจรัสเนตรปัจจุบันเป็นพระโพธิสัตต์แห่งความหลุดพ้น จรัสเนตรผู้เป็นธิดา บัดนี้คือกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า”

                เป็นที่รู้จักกันดีว่า กษิติครรภ์โพธิสัตต์ ทรงมีพระเมตตาสงสารคอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากที่เป็นมิจฉาทิฏฐิให้เข้าสู่ความหลุดพ้นกัปแล้วกัปเล่า ในอนาคตหากชายหญิงใด ด้วยอวิชชาความโง่เขลา ไม่กระทำกุศล สร้างแต่อกุศลกรรมทั้งกายวาจาใจ ทั้งไม่เคารพในกฎแห่งกรรม ก็จะต้องทุกข์ทรมานอยู่ในอบายภูมิ

                แต่เมื่อมีโอกาสได้พบผู้มีปัญญาที่จะชักนำเขาให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า แม้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆเขาก็จะสามารถหลุดพ้นออกมาจากอบายทั้งสามภูมิได้

                และเช่นกัน หากยึดมั่นในพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ถวายความเคารพสักการะต่อพระองค์ ด้วยกุศลจิต ถวายดอกไม้ของหอม จีวร เพชรนิลจินดา (เป็นเครื่องบูชา) พร้อมทั้งอาหารเครื่องดื่ม ก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่เป็นทิพย์เป็นเวลาหลายกัป เมื่อผลจากบุญกุศลนี้หมดลง ก็จะได้ไปเกิดเป็นพระราชาครองสิริราชสมบัติอีกนับร้อยกัป พระราชาเหล่านี้จะได้ระลึกรู้ในกฎแห่งกรรมในอดีตหนหลัง

                พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้รับสั่งกับอิศวรเทวราชว่า “ด้วยอำนาจอันมหาศาลของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์นั้นยิ่งใหญ่นัก และประโยชน์ที่พระองค์ช่วยเหลือมนุษย์ก็หาขอบเขตจำกัดมิได้ ท่านทั้งหลายที่เป็นพระโพธิสัตต์จึงพึงระลึกรู้ในพระสูตร และช่วยกันเผยแพร่ให้กว้างไกลไพศาล” อิศวรเทวราชจึงทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “พระโลกนาถเจ้า ขอพระองค์อย่าได้หวั่นวิตก พวกเราพระมหาโพธิสัตต์จำนวนล้านล้านองค์ ย่อมสืบสานคำสั่งสอนของพระองค์ และด้วยบารมีแห่งอำนาจอันหาที่ประมาณมิได้ของพระพุทธองค์ พวกเราจะนำกษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตรออกเผยแพร่ให้ขจรขจาย เพื่อที่จะได้นำความสุขและประโยชน์สุขมาให้แก่ สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในสังสารวัฏ” เมื่อได้ถวายคำมั่นสัญญา อิศวรเทวราชได้กลับไปประทับในที่ของพระองค์ พร้อมพนมหัตถ์อยู่ระหว่างพระอุระด้วยความเคารพ มหาราชแห่งเทวราชทั้งจตุรทิศลุกขึ้นถวายสักการะต่อพระศากยมุนีพุทธเจ้าพลางว่า “พระโลกนาถเจ้า พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ได้ทรงตั้งประณิธานเป็นเวลาหลายกัปมาแล้ว ทำไมจึงยังมีสรรพสัตว์ที่ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ และเหตุใดที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จึงต้องตั้งประณิธานอีก” พระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงทรงอธิบายให้ท้าวเทวราชแห่งจตุรทิศฟังว่า   “คำถามของพวกท่านประเสริฐแล้ว   เพื่อประโยชน์แห่งท้าวเทวราชทั้งสี่   ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งในเทวโลกและมนุษยโลก ทั้งในปัจจุบันและตลอดจนถึงอนาคต ตถาคตจะเล่าให้ฟังว่า พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ด้วยมหากรุณาของพระองค์ ได้ช่วยปลดปล่อยสรรพสัตว์จากสังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด และช่วยให้เขาหลุดพ้นในท้ายที่สุดอย่างไร” เทวราชจากจตุรทิศรับปากพร้อมกันว่า “พวกเราจะผังด้วยความใส่ใจยิ่งพระเจ้าข้า” พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงรับสั่งต่อไปว่า “แม้ว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จะได้ช่วยมนุษย์ผู้ตั้งมั่นในมิจฉาทิฏฐิได้กลับใจและหลุดพ้นมายาวนานหลายกัปแล้วก็ตามที พระองค์ก็หาได้พอพระทัยไม่ พระองค์ทรงสงสารเหล่าคนบาปที่ยังเวียนว่ายอยู่  รู้ว่า ไม่ว่าพวกเขาจะดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไร เราเขาก็ยังตกอยู่ในวังวนแห่งอกุศลกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนกับหญ้าแพรกที่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วและกว้างไกลดังนั้นพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จึงต้องตั้งประณิธานซ้ำแล้วซ้ำอีก พระองค์ทรงใช้ความเพียรพยายามโดยมิได้หยุดหย่อนในการหาอุบายที่เหมาะสมเพื่อจะช่วยคนบาป และโปรดพวกเขาให้เข้าถึงสัจธรรมอันเป็นนิรันดร์

                จากนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งกับเทวราชทั้ง 4 ทิศว่า “หากพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ได้พบคนบาปที่ประกอบอกุศลโดยการทำลายล้างชีวิต พระองค์จะทรงสอนให้พวกเขาเห็นว่า อกุศลเช่นนั้นจะทำให้ชีวิตเขาสั้นลง หากทรงพานพบโจรขโมย พระองค์จะทรงสอนให้เขาเข้าใจว่าการกระทำของเขาย่อมสร้างความทุกข์ยากและความยากจนให้แก่คนอื่น เมื่อพบกับผู้ที่ละเมิดทางเพศ ก็จะอธิบายให้เขาฟังว่า เขาจะต้องไปเกิดเป็นนกพิราบที่ไม่ยอมพรากจากคู่ของมัน และทรงสอนพวกที่ชอบพูดคำหยาบว่าจะต้องไปเกิดในครอบครัวที่ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลา คนที่ชอบพูดนินทาว่าร้ายคนอื่น ท่านก็จะทรงตักเตือนว่า จะต้องไปเกิดเป็นคนพิการไม่มีลิ้น ลิ้นไก่สั้น หรือเป็นแผลร้ายในปาก คนที่อารมณ์ฉุนเฉียวนั้น ทรงเตือนว่า จะต้องเลี่ยงไปเกิดเป็นคนหน้าตาน่าเกลียด และร่างกายพิกลพิการ คนขึ้นเหนียวจะไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จความปรารถนา คนที่ขี้โลภก็จะทุกข์ทรมานอยู่ในความหิวกระหาย และทุกข์ทรมานกับโรคเจ็บคอเรื้อรัง สำหรับคนที่เป็นนายพรานทรงสอนว่า เขาจะตายด้วยความตายที่รุนแรง คนที่เคารพบิดามารดา จะต้องตายในสงครามหรือการสู้รบ คนที่เผาป่าจะตายด้วยโรคบ้าคลั่ง คนที่ขาดความเมตตากรุณาต่อบุตรธิดาเลี้ยง ก็จะได้รับการตอบสนองในทำนองเดียวกัน คนที่ชอบจับสัตว์ในตาข่ายจะต้องพลัดพรากจากบุตรหลานและครอบครัว คนที่จ้วงจาบพระรัตนตรัย เมื่อไปเกิดก็จะเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ และตาบอด คนที่ไม่เคารพในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะตกนรก คนที่ขโมยของจากวัด จะต้องไปตกในนรกชั่วกัปชั่วกัลป์ ภิกษุ และภิกษุณี ต้องอาบัติเรื่องเมถุน จะต้องไปเวียนตายเวียนเกิดเป็นสัตว์โดยไม่รู้จบ แม้อุบาสกอุบาสิกาที่ได้รับศีลมาอย่างดีแล้วละเมิด ก็จะต้องรับโทษทัณฑ์ทำนองเดียวกัน ผู้ที่ทำร้ายคนอื่นด้วยน้ำร้อนก็ดี ด้วยไฟก็ดี ทำร้ายโดยการห้ำหั่นก็ดี ครั้นไปเกิดในชาติหน้าภพหน้าก็จะต้องรับวิบากเช่นเดียวกัน ผู้ที่สนับสนุนให้ผู้อื่นละเมิดศีล จะไปเกิดเป็นสัตว์ทรมานอยู่ด้วยความหิวโหยตลอดเวลาคนสที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายมั่วหลงอยู่ในอบาย ครั้นไปเกิดอีกก็จะไม่เคยได้สมหวัง คนที่เย่อหยิ่งดูถูกเหยียดหยามคนอื่น จะไปเกิดในตระกูลต่ำทราม คนที่ชอบนินทาซุบซิบ เอาเรื่องคนนี้ไปบอกคนโน้น จะเกิดเป็นคนพิการ ไม่มีลิ้น หรือมีร้อยลิ้น คนที่ยึดติดในมิจฉาทิฏฐิจะไปเกิดในที่ที่ไร้อารยธรรม ทนทุกข์อยู่ในความยากลำบาก

                คนบาปที่ประกอบแต่อกุศลกรรมทางกาย วาจา ใจ นั้นมีจำนวนมากมาย และสามารถจะเล้าเรียงบางคนได้ พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทรงรู้ว่าผู้ที่หลงผิดนี้จะต่างจากคนอื่น ท่านก็จะปรับตัวของท่าน เพื่อจะได้เข้าไปขี้นำสั่งสอนเขาได้ คนบาปที่มีความทุกข์ในชาตินี้ เพราะอกุศลกรรมที่ทำไว้ ครั้นตายลงไปก็จะไปเกิดในนรกกัปแล้วกัปเล่า จนกว่าจะได้พ้นขึ้นมาจากขุมนรก จึงเป็นหน้าที่ของท่านเทวราชแห่งทิศทั้ง 4 ที่จะคอยปกป้องคุ้มครองทั้งประชาชนและประเทศ เพื่อให้เขาพ้นจากบาปชั่วทั้งปวง

                หลังจากที่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธองค์ เทวราชพากันร่ำไห้ด้วยความเศร้าใจ พนมมือทูลลาจากไปด้วยความเคารพ

บทที่ 5

ชื่อขุมนรกต่างๆ

                ขณะนั้น พระสมันตรภัทรมหาโพธิสัตต์ ได้ทูลขอให้พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ตรัสเล่า โดยทูลว่า “พระผู้เปี่ยมด้วยบุญญาธิการได้โปรดแสดงแก่ทวยเทพ นาคา และสรรพสัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏ ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต ว่าขุมนรกต่างๆมีชื่อว่าอะไร และแต่ละขุมมีการลงโทษอย่างไร สำหรับผู้ที่ทำโทษบาปชนิดใด เพื่อว่าสรรพสัตว์ในกาลภายภาคหน้าจะได้ตระหนักในผลของการทำบาป และจะได้ละเว้นการทำบาปทำชั่ว”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทูลตอบว่า “พระผู้ทรงมหากรุณาด้วยพุทธานุภาพ และความสนับสนุนของพระองค์ ขอถวายชื่อของขุมนรกต่างๆพร้อมทั้งโทษสำหรับคนบาปดังนี้

1 ขุมนรกมหาอเวจี

                อยู่ทางตะวันออกของภูเขามหาจักรวาล เป็นที่หนาวเย็นที่สุด ไม่มีแสงสว่างทั้งแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ มีนรกขุมใหญ่เรียกว่านรกอเวจี การลงโทษทัณฑ์สำหรับนรกขุมนี้ เป็นความเจ็บปวดนับแต่เกิดจนตาย เรียกว่าไม่มีหยุดหย่อน

2 ขุมนรกที่มีการลงโทษไ ม่หยุด

                มีแต่เสียงของสัตว์นรกที่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดตลอดเวลา

3 ขุมนรกสี่มุม

                นรกนี้มีกำแพงเป็นเหล็กที่ร้อนแดง และมีเปลวไฟหล่อนลงมาใส่สัตว์นรกเหมือนกับฝนตก พอสัตว์นรกถูกไฟไหม้จนตาย แล้วก็กลับมาเกิดใหม่รับโทษแบบเดิม ตายลงแล้วก็มาเกิดรับกรรมใหม่ ซ้ำๆกัน

4 ขุมนรกมีดบิน

                เป็นนรกที่ล้อมด้วยภูเขาที่เป็นมีด ในอากาศเป็นเพดานที่มีมีดแหลมๆจำนวนล้านๆเล่ม มีมีดโค้งที่ร่อนเข้าหาคนบาปที่เป็นสัตว์นรกเมื่อถูกฟันร่างกายจะขาดเป็นชิ้นๆ

5 ขุมนรกลูกศรไฟ

                ลูกศรไฟจำนวนนับล้าน แล่นออกจากแหล่งเข้าทิ่มแทงหัวใจและร่างกายของสัตว์นรก

6 ขุมนรกภูเขาบด

                สัตว์นรกจะถูกอัดระหว่างภูเขา 2ลูกที่บีบเข้าหากัน

7 ขุมนรกหอกแหลม

                ร่างกายของสัตว์นรกจะถูกทิ่มแทงด้วยหอกแหลมเหล่านี้

8 ขุมนรกรถไฟเหล็ก

                สัตว์นรกจะถูกจับขึงอยู่กับรางรถไฟ และปล่อยให้รถไฟบดขยี้

9 ขุมนรกเตียงเหล็กไฟ

                สัตว์นรกจะถูกจับขึงบนเตียงและถูกเผาจนตาย

10 ขุมนรกวัวเหล็ก

                สัตว์นรกจะถูกเหยียบและขวิดโดยฝูงวัวเหล็ก

11 ขุมนรกเสื้อเหล็กร้อน

                สัตว์นรกจะถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าที่เป็นเหล็กร้อนที่ไหม้ผิวหนัง

12 ขุมนรกมีดดาบเหล็กไฟนับพัน

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้นอนบนมีดดาบที่จะทิ่มแทงร่าง นอกจากนั้นยังมีมีดที่ร่อนอยู่บนอากาศ เมื่อถูกร่างกายของสัตว์นรก ก็จะขาดเป็นชิ้นๆ

13 ขุมนรกลาเหล็กร้อน

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้ขี่บนหลังลาเหล็กที่ร้อน

14 ขุมนรกน้ำทองเหลืองเดือด

                สัตว์นรกจะถูกกรอกปากด้วยน้ำทองเหลืองเดือด

15 ขุมนรกเสาทองเหลือง

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้โอบกอดเสาทองเหลืองร้อนๆ

16 ขุมนรกเปลวไฟ

                เปลวไฟจะหล่นลงมาถูกสัตว์นรกเหมือนสายฝน จะไม่มีทางหนีไปที่อื่น

17 ขุมนรกผาลลิ้น

                สัตว์นรกจะถูกลากลิ้นออกมาใช้เป็นผาลไถนา

18 ขุมนรกเลื่อยเหล็ก

                สัตว์นรกจะถูกตัดศีรษะด้วยเลื่อยเหล็ก

19 ขุมนรกปฐพีเหล็กแดง

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้ให้เดินเท้าเปล่าไปบนพื้นที่เป็นเหล็กร้อนแดง

20 ขุมนรกเหยี่ยวเหล็ก

                สัตว์นรกจะถูกเหยี่ยวเหล็กจิกตลอดเวลา

21 ขุมนรกลูกตุ้มเหล็กร้อนแดง

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้กลืนลูกตุ้มเหล็กร้อนๆ

22 ขุมนรกแห่งการทะเลาะวิวาท

สัตว์นรกจะถูกเผาด้วยอุ้งเล็บเหล็ก และจะทะเลาะวิวาทกันตลอดเวลา

23 ขุมนรกค้อนเหล็ก

                สัตว์นรกจะถูกทุบด้วยค้อนเหล็ก

24 ขุมนรกแห่งโทษะ

สัตว์นรกจะตบตีทะเลาะวิวาทกันตลอดเวลา พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์มักรับสั่งเสมอว่า “พระผู้ทรงมหากรุณา ในมหาจักรวาลนั้นมีขุมนรกที่ลงโทษเช่นนี้มากมาย นอกจากนั้นก็ยังมี

25 ขุมนรกแห่งการร้องโหยหวน

                สัตว์นรกจะถูกโยนลงไปในเหล็กที่กำลังเดือด เสียงสัตว์นรกร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

26 ขุมนรกลากลิ้น

                สัตว์นรกในขุมนี้จะถูกตะขอเหล็กลากลิ้นออกมา

27 ขุมนรกอุจจาระปัสสาวะ

                สัตว์นรกจะถูกขับลงไปในเหวแห่งอุจจาระปัสสาวะ

28 ขุมนรกกุญแจทองเหลือง

                สัตว์นรกถูกใส่กุญแจติดอยู่กับภูเขาเหล็กแล้วบังคับให้วิ่ง

29 ขุมนรกช้างไฟ

                สัตว์นรกจะถูกตามไล่ล่าด้วยช้างไฟ

30 ขุมนรกแห่งสุนัขไฟ

                สัตว์นรกจะถูกสุนัขไฟขบกัด

31 ขุมนรกม้าและวัวไฟ

                สัตว์นรกจะถูกตามไล่ล่าและเหยียบย่ำโดยม้าและวัวไฟ

32 ขุมนรกภูเขาไฟ

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้เดินแล้วจะถูกภูเขาไฟขยี้จนเป็นผุยผง

33 ขุมนรกแห่งก้อนหินไฟ

                สัตว์นรกจะถูกบังคับให้นอนบนก้อนหินไฟ และมีก้อนหินร้อนทับบนตัวอีกทีหนึ่ง

34 ขุมนรกแห่งเตียงไฟ

สัตว์นรกจะถูกบังคับให้นอนบนเตียงที่ร้อนแดง

35 ขุมนรกคานไฟ

                สัตว์นรกถูกห้อยอยู่กับคานที่เป็นเปลวไฟร้อน

36 ขุมนรกเหยี่ยวไฟ

                สัตว์นรกถูกเหยี่ยวไฟจิกตี

37 ขุมนรกแห่งเลื่อยไฟ

                สัตว์นรกถูกเลื่อยไฟเลื่อยลำตัวและฟัน

                และยังมีนรกอื่นๆ

                ขุมนรกที่สัตว์นรกถูกลอกหนังออก

                ขุมนรกที่สัตว์นรกถูกสูบเลือดออกจากร่าง

ขุมนรกที่มือเท้าของสัตว์นรกถูกเผา

ขุมนรกที่มีต้นไม้ที่เป็นหนามแหลม และสัตว์นรกถูกลากไปบนหนามแหลมเหล่านั้น

ขุมนรกที่เป็นบ้านเพลิง ที่คอยไล่กัดเหยียบย่ำร่างของคนบาปและกัดฉีกเป็นชิ้นๆ

ในขุมนรกนั้น ยังมีขุมย่อยๆแยกลงไปอีก 3, 4, 5, และแม้กระทั่งจำนวนเป็นร้อยเป็นพัน มีชื่อต่างๆกันไป

พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ เมื่อได้เล่ารายละเอียดของนรกถวายพระพระสมันตรภัทรมหาโพธิสัตต์แล้ว ทูลว่า ”พระผู้ทรงมหากรุณา นรกที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น มีไว้ลงโทษผู้ที่มีนิสัยไม่ดี ประพฤติแต่อกุศล ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา หรือในทางความคิด อำนาจแห่งวิบากกรรมนั้นยิ่งใหญ่และแน่นอน อาจจะเปรียบได้กับเขาพระสุเมรุและลึกล้ำดุจมหาสาคร ความชั่วบาปนั้นเป็นอุปสรรค ต่อการที่เราจะทำกุศลที่จะหวังเข้าถึงพุทธภูมิ ดังนั้น มนุษย์ทั้งหลายจึงควระมัดระวังที่จะไม่ทำบาปแม้เพียงเล็กน้อย อย่าไปนึกว่าบาปเล็กๆน้อยๆจะไม่มีผล เมื่อตายไปเขาจะตกนรก เพื่อลงโทษในบาปเล็กๆน้อยๆนั้นเองญาติสนิท เช่นบิดากับลูก อาจจะลงไปในนรกขุมต่างกันไป และแม้จะลงไปในนรกขุมเดียวกัน  เขาจะไม่ได้รับการอนุญาตให้รับโทษแทนกัน แด่ด้วยบุญญานุภาพของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ข้าพระองค์จึงสามารถเล่าให้ฟังถึงการลงโทษในนรกต่างๆโดยย่อ ข้าพรองค์หวังว่า พระองค์จะทรงมีเวลาพอที่จะฟัง”

พระสมันตรภัทรมหาโพธิสัตต์รับสั่งว่า “ข้าพระองค์รู้มาแล้วว่ามีการลงโทษสำหรับอกกุศลที่ประกอบทางกาย วาจา ใจ ข้าพระองค์เพียงแต่หวังว่าพระผู้ทรงกรุณาจะเล่าทั้งเรื่องกฎแห่งกรรม เพื่อว่ามนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต จะได้เรียนรู้บทเรียนและจะได้หลีกเลี่ยงจากอกุศลกรรมและบำเพ็ญแต่บุญกุศล เพื่อเข้าสู่พุทธภูมิในท้ายที่สุด”

พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์รับสั่งต่อไปว่า “พระผู้ทรงกรุณา การลงโทษในนรกนั้นเป็นจริงตามนั้น มีนรกที่ใช้ลิ้นของสัตว์นรกเป็นผาลไถคราดท้องนา ในบางขุมนรกก็จะแหวะเอาหัวใจของสัตว์นรกออกให้เป็นอาหารยักษ์ ในบางขุมนรก จับสัตว์นรกใส่ลงไปในแท็งค์น้ำเดือดต้มจนขาดใจตาย บางขุมนรก สัตว์นรกถูกบังคับให้โอบกอดเสาทองเหลืองที่ร้อนแดง และในบางขุมนรก สัตว์นรกก็อยู่ท่ามกลางวงล้อมของเปลวเพลิง

“ในบางขุมนรก จะหนาวเย็นจนกระทั่งสัตว์นรกแข็งตาย ในบางขุมนรก สัตว์นรกก็ต้องลอยคออยู่ในมูตรในคูถ ในบางขุมนรก ก็จะมีอาวุธเหล็กบินห้ำหั่นสัตว์นรก ในบางขุมนรก จะมีหอกร้อนแดงคอยทิ่มแทงร่างกายของสัตว์นรก ในบางขุมนรก สัตว์นรกจะถูกจับฟาดกับแท่งเหล็ก ในบางขุมนรก สัตว์นรกจะถูกผูกมือเท้าติดอยู่กับเหล็กเผาไฟ ในบางขุมนรก ร่างของสัตว์นรกจะถูกพันไว้โดยงูเหล็ก ในขุมนรกบางแห่งสุนัขเหล็กจะไล่ล่าสัตว์นรก ในขณะที่บางแห่งสัตว์นรกจะถูกบัคับให้ขี่บนหลังลาเหล็กที่ร้อนแดง

“ผู้ที่ละเมิด โดยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมย พูดโกหก พูดทิ่มแทง พูดดูหมิ่นเหยียดหยาม พูดนินทาง คนที่มีความโลภ มีความหลงจะถูกลงโทษในขุมนรกที่กล่าวมาข้างต้น โดยไม่มีทางหลบหนี

“พระผู้ทรงกรุณา อาวุธที่ใช้ลงโทษในขุมนรกแต่ละแห่งมีหลายชนิด บ้างก็ทำด้วยทองเหลือง เหล็ก หิน หรือไฟ ความดื้อรั้นของสรรพสัตว์นั้นมั่นคงราวกับทองเหลือง เหล็ก หรือหิน ซึ่งยากแก่การทำลายอำนาจแห่งกฎแก่งกรรมนั้น มีอันตรายดุจไฟ ที่จะลามขยายออกไปเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว เผาไหม้ทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้เป็นผุยผง หากข้าพระองค์ต้องเล่าถึงความทุกข์ของนรกในรายละเอียด อาจจะกล่าวได้ว่าแต่ละขุมก็จะมีความทุกข์ยากแบบต่างๆกันนับหมื่นนับแสน แน่นอนยิ่งมากขุมนรกความทุกข์ยากก็ยิ่งมากขึ้น ด้วยพุทธานุภาพของพระศากยมุนีพุทธะโลกนาถเจ้า และเพราะคำของร้องของท่าน ข้าพระองค์ก็จะได้เล่าถึงความทุกข์ยากในขุมนรกเพียงย่นย่อ หากจะต้องเล่าถึงความทุกข์ยากในขุมนรกโดยละเอียดข้าพระองค์ก็คงจะไม่สามารถเล่าจบชั่วกัปชั่วกัลป์

บทที่ 6

พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์

                พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงฉายโอภาสสว่างไปทั่วพุทธเกษตร ซึ่งมีจำนวนมากมายดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ทรงสั่งพระสุรเสียงออกไปยังพระมหาโพธิสัตต์ทั้งหลาย ทวยเทพ นาค มนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายในพุทธเกษตรอื่นๆ “ขอจงฟังตถาคต วันนี้ตถาคตปรารถนาที่จะสรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ในเรื่องที่พระองค์ได้ช่วยเหลือสรรพสัตว์ และจะคอยช่วยเหลือผู้ที่หลงผิดให้กลับใจอีกต่อไป ในทิศทั้งสิบ ทั้งบารมีอันศาลหาประมาณมิได้ ด้วยพระเมตตา และพระกรุณา ตถาคตหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านทั้งหลายจะได้ช่วยกันอย่างสุดความสามารถที่จะปกป้องและเผยแพร่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตร เพื่อช่วยให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้เข้าถึงพระนิพพาน เมื่อตถาคตเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว” เมื่อพระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งเช่นนั้น  พระจักรวาลโพธิสัตต์น้อมนมัสการแต่พระศากยมุนีพุทธเจ้าด้วยความเคารพ แล้วทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ยินที่พระตถาคตเจ้าทรงกล่าวสรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ในบารมีของพระองค์อันหาประมาณมิได้ในการโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย จึงทูลอัญเชิญพระโลกนาถเจ้าได้โปรดรับสั่งถึงวิธีการที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์นำประโยชน์สุขมาสู่สรรพสัตว์ เพื่อว่าชนต่อไปในภายภาคหน้าจะได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนด้วยดี” เวลานั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงได้ตรัสกับพระจักวาลโพธิสัตต์ และชนทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นั้นว่า “ขอจงตั้งใจฟังเถิด ตถาคตจะได้กล่าวโดยย่อว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ได้โปรดสรรพสัตว์ให้เข้าถึงประโยชน์สุขและบุญกุศลอย่างไร” พระจักรวาลโพธิสัตต์จึงทูลว่า “ขอได้โปรไขแสดงเถิดพระเจ้าข้า พระโลกนาถเจ้า พวกเรานจะน้อมรับฟังด้วยความตั้งใจ”  พระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงกล่าวกับพระจักรวาลโพธิสัตต์ว่า “ในกาลต่อไปในภายภาคหน้าสาธุชนทั้งชายหญิง จะพนมมือสวดพระนามของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ สรรเสริญและถวายสักการะต่อพระองค์ สรรเสริญพระองค์ สาธุชนเหล่านี้จะพ้นจากความชั่วบาปและอกุศลที่ได้กระทำมาแล้วแม้นับ30 กัป พระจักรวาลโพธิสัตต์ หากแม้สาธุชนชายหญิง วาดรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ หรือสร้างพระรูปของพระองค์ด้วยดินก็ดี แกะสลักด้วยหินก็ดี ไม้ก็ดี หล่อเป็นทองคำก็ดี เงินก็ดี ทองเหลืองก็ดี หรือแม้ด้วยเหล็กก็ดี และถวายสักการะแม้เพียงครั้งเดียว หรือได้มองภาพเหมือนของพระองค์สักครั้ง สรรพสัตว์ทั้งหลายสก็จะได้ไปเกิดในสรรค์ชั้นดาวดึงส์เป็นเวลา 100 ชาติ และไม่ต้องตกลงไปในอบายเลย เมื่อเสวยสุขบนสวรรค์จนหมดบุญแล้ว ก็จะได้มาเกิดในโลกมนุษย์เป็นพระราชาครองแว่นแคว้น หากเป็นหญิงและไม่ปรารถนาที่จะเกิดเป็นเพศหญิงอีก ก็พึงตั้งใจถวายสักการะแด่รูปเคารพของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์โดยสม่ำเสมอ หากถวายสักกาะด้วยดอกไม้ เครื่องดื่ม อาหาร เสื้อผ้า ผ้าแพรพรรณ ปัจจัยเครื่องประดับ ฯลฯ หญิงเหล่านั้นก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นหญิงอีกเลย นับพันกัป นับแต่ชาตินี้ไป แต่หากด้วยความกรุณาตั้งใจที่จะเกิดเป็นหญิงเพื่อช่วยโปรดสรรพสัตว์ก็ยังทำได้ตามประสงค์ แต่หากไม่ต้องการที่จะกลับมาเป็นหญิงอีก ด้วยพระบารมีของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์อันหาประมาณมิได้ เธอเหล่านั้นก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นหญิงอีกเป็นเวลาหลายพันกัป และก็นั่นแหล่ะจักรวาลโพธิสัตต์ หากหญิงใดที่เกิดมามีหน้าตาอัปลักษณ์ มีสุขภาพไม่ดี ขอเพียงถวายสักการะแก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ เพ่งมองที่รูปเหมือนของพระองค์ท่าน ภายในเวลาสั้นๆ แต่เปี่ยมด้วยความเคารพ หญิงเหล่านั้นก็จะไม่เกิดใหม่มีหน้าตาดี หลายล้านกัปในอนาคตอันยาวไกล หากหญิงที่ขี้เหร่เหล่านั้นปรารถนาที่จะเกิดเป็นหญิงอีก ด้วยบุญกุศลที่ตั้งใจถวายสักกระแก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ เขาก็จะได้รับความสุขโดยไปเกิดใหม่เป็นพระราชินีแห่งแว่นแคว้น หรือเป็นธิดาของขุนนางอีกพันล้านชาติ และจะเป็นผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาดีเสมอจักรวาลโพธิสัตต์ หากสาธุชนทั้งชายหญิง ที่เล่นดนตรีหรือสวดพระสูตร ถวายสักกาะแด่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ หรือถวายดอกไม้ของหอมแก่พระองค์ด้วยตนเอง หรือหากสนับสนุนแนะนำให้คนอื่น คนหนึ่งหรือสองคนให้ปฏิบัติตามเช่นกัน สาธุชนเหล่านี้จะมีทวยเทพนับพันคอยพิทักษ์รักษา ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งในชาตินี้และในอนาคตที่จะมาถึง เขาจะไม่ได้พบความชั่วร้าย ทั้งจะไม่ได้ยินได้ฟังเรื่องร้ายๆตลอดไป”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งกับพระจักรวาลโพธิสัตต์อีกว่า “หากมีสรรพสัตว์ผู้ใจบาปหัวเราะเยาะเย้ยผู้ที่ถวายสักการะ สรรเสริญ ถวายความเคารพต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ โดยกล่าวว่า ในการทำเช่นนั้นไม่เป็นบุญเป็นกุศล เมินหน้าหนีก็ดี กล่าวชักชวนผู้อื่นมิให้บำเพ็ญบุญกุศลดังกล่าว หรือเพียงมีความคิดแย้งผู้ที่ถวายสักกาะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์แม้เพียงชั่วขณะ เขาจะตกนรกอเวจีนับเป็นกัป ได้รับโทษทัณฑ์แม้พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปหลายองค์แล้วก็ตามที เมื่อชดใช้โทษทัณฑ์แล้ว จะไปเกิดเป็นเปรตอีกนับพันกัป จากนั้นจะไปเกิดเป็นสัตว์อักกัปแล้วกัปเล่า ต่อจากนั้นจึงได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ก็จะทุกข์ยาก เกิดในตระกูลต่ำ เกิดมาพิกลพิการในลักษณะใดลักษณะหนึ่งวิบากกรรมจากอดีตก็จะตามมาส่งผลให้ตกลงไปในอบายอีก”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งกับพระจักรวาลโพธิสัตต์ อีกว่า “การเยาะเย้ยผู้ที่ถวายความเคารพและเครื่องสักการะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จะได้รับโทษหนัก และจะเป็นอันตรายยิ่งกว่าหากมีมิจฉาทิฏฐิต่อภาคต่างๆของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ และทำลาย หรือดูกถูกคำสอนของพระองค์

                พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงกล่าวต่อไปว่า “หากมีผู้ที่เจ็บหนักนอนแบบอยู่กับที่นอนมาเป็นเวลานาน มีโรคภัยไข้เจ็บติดต่อกันมานานหลายปี ฝันร้าย ฝันถึงแต่ภูตผีปีศาจ ฝันเห็นญาติที่ตายไปแล้วหรือฝันว่าเดินทางไปในที่ทุรกันดาร มีภูตปีศาจรบกวน และในระหว่างฝันร้ายร้องตะโกนออกมา ความทุกข์ในรูปแบบดังกล่าวเป็นพราะอกุศลกรรมในชาติก่อนๆที่ติดตามมา และวิบากกรมก็ยังไม่หมด คนเจ็บบางคนก็เจ็บปางตายแต่ก็ยังไม่ตาย วิบากกรรมของเขาเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากมีใครสวดมนต์ขทของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ดังๆ ต่อหน้าพระพุทธรูปของพระโพธิสัตต์ นำสมบัติของคนเจ็บที่เขาผูกพันหวงแหน เช่น เครื่องประดับ หรือสมบัติอื่นๆ แล้วอธิบายว่า “ข้าฯขอถวายสักการะแทนคนเจ็บด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้” หากเขาจะกราบบูชาสักการะพระพุทธรูป หรือสร้างรูปเหมือนของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตต์เจ้า สร้างเจดีย์ก็ดี สร้างวัดก็ดี ถวายประทีปโคมไฟก็ดี หรือถวายทานแก่วัดก็ดี เอ่ยวาจาถวายทานนั้นๆแทนคนเจ็บให้คนเจ็บได้ยิน 3 ครั้ง แม้ว่าคนเจ็บอาจจะตายไปแล้ว การทำบุญดังกล่าวควรบำเพ็ญติดต่อกัน 7 วัน กล่าวถวายทานดังๆเสมอควรสวดพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตรดังๆ ด้วยในช่วงเวลาดังกล่าว บุญกุศลนี้จะช่วยปลดเปลื้องบุคคลนั้นมิให้ตกไปในอเวจีทั้ง 5 ขุม อันจะต้องได้รับทุกข์ทรมานหนัก เมื่อไปเกิดใหม่ก็จะระลึกชาติในอดีตของตนเองได้

                “หากสาธุชนชายหญิง เขียนหรือคัดลอกพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์หรือสอนให้ผู้อื่นเขียนก็ดี ทำรูปสักการะก็ดี ก็จะเป็นบุญกุศลยิ่งกว่าที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งกาบพระจักรวาลโพธิสัตต์ต่อไปว่า “หากท่านได้พบผู้คนที่สวดพระกษิติครรภ์โพธิสูตร หรือแม้เพียงมีจิตศรัทธาแสดงความเคารพในพระสูตรนี้ ขอให้แนะนำให้เขามีความมั่นคงในการรักษาศรัทธาให้ตั้งมั่น ก้าวเดินต่อไปโดยไม่ต้องมองย้อนหลัง ย้ำเตือนเขาว่า เขาจะได้บุญกุศลเป็นอเนกอนันต์ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

                “หากสรรพสัตว์ทั้งหลายในอนาคต จะเห็นภาพของภูตผีปีศาจร้องไห้คร่ำครวญ หรือหลอกหลอน พวกนี้เป็นญาติในอดีตชาติที่ตกระกำลำบาก พวกเขาอยู่ในอบายภูมิ ไม่สามารถจะช่วยตนเองได้ มาร้องขอส่วนบุญส่วนกุศลให้ทำแทนให้ด้วย เพื่อพวกเขาจะได้หลุดพ้นจากการเสวยทุกข์”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งกับพระจักรวาลโพธิสัตต์ว่า “สำหรับผู้ที่มีภาพหลอกหลอน ขอให้พวกเขาได้สวดพระกษิติครรภ์โพธิสูตร หน้าพระพุทธรูป และพระโพธิสัตต์ หากไม่ทำเอง ขอให้คนอื่นทำแทนติดต่อกัน 3-7 วัน เมื่อญาติที่ล่วงลับไปแล้วได้ยินเสียงสวดพระกษิติครรภ์โพธิสูตรสัก 2-3 ครั้ง ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็จะพ้นทุกข์และจะเข้าสู่วิถีแห่งความหลุดพ้น และจากนั้นญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะไม่ฝันถึงญาติที่ล่วงลับไปแล้วอีก

                “คนที่เกิดในตระกูลต่ำ เป็นคนรับใช้คนอื่น ไม่มีอิสรภาพ ต้องช่วยให้เขาทำความเข้าใจว่าเป็นผลจากวิบากกรรมแต่อดีตชาติ ขอให้เขาได้สำนึก และถวายสักการะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เป็นเวลา 7 วัน บุญกุศลที่จะเกิดแก่ผู้ที่เกิดในตระกูลต่ำ จะช่วยให้เขาได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีอีกหลายชาติ และจะไม่มีวันตกต่ำลงไปสู่อบายอีก

                “ต่อไปในอนาคต ผู้ที่เกิดในชมพูทวีป เมื่อจะมีบุตรในครอบครัวให้บิดามารดาสวดพระกษิติครรภ์โพธิสูตร 10,000ครั้ง บุตรที่จะเกิดใหม่ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะช่วยชำระอกุศลในอดีต จะมีอายุยืนและมีชีวิตอย่างมีความสุข หากผู้ที่กำลังจะมาเกิดได้ประกอบกุศลกรรมไว้ในอดีต เมื่อเกิดมาก็จะมีชีวิตยืนยาวและมีความสุขมากขึ้น

                “ผู้ที่เกิดในชมพูทวีปหากละเมิดศีล ประกอบอกุศลไม่ว่าจะเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมย ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ฯลฯ ก็พึงได้รับคำแนะนำให้สวดพระกษิติครรภ์โพธิสูตร เดือนละ 10 วัน ต่อหน้าพระพุทธรูปหรือพระโพธิสัตต์ เช่นในวันที่ 1 วันขึ้นแรม 8 และ 15 ค่ำ วันที่23, 24,28, 29,30 ของเดือน ให้สวดพระสูตรวันละครั้งก็จะห่างไกลความทุกข์หลายโยชน์ทั้ง 4 ทิศ ภายในครอบครัว สมาชิกทุกคนไม่ว่า เด็กหรือแก่จะไม่ต้องไปตกในอบายเป็นเวลาหลายพันปี

                “หากสาธุชนสวดพระกษิติครรภ์โพธิสูตร เดือนละ 10 วันดังกล่าวได้ เขาจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ชีวิตจะมีความสะดวกสบาย ด้วยเหตุนี้เอง พระจักรวาลโพธิสัตต์ ท่านพึงรู้ด้วยว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์นั้นมีอำนาจใหญ่หลวง และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการโปรดสรรพสัตว์ สรรพสัตว์ที่อยู่ในชมพูทวีปจะมีความใกล้ชิดกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ด้วยเหตุที่อยู่ในชมพูทวีปจะมีความใกล้ชิดกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ด้วยเหตุนั้น เมื่อพวกเขาได้ยินพระนามของพระองค์ ได้เห็นภาพของพระองค์ หรือแม้ได้ยินคำสอนของพระองค์เพียง 3 คำ 5 คำ 7คำ หรือประโยคหนึ่ง ก็จะมีความพึงพอใจ มีความสุขในชีวิตนี้ และจะได้ไปเกิดในตระกูลที่ดีมิผิวพรรณดี อีกเป็นเวลานับล้านชาติ”

                ขณะนั้น พระจักรวาลโพธิสัตต์ได้ยินพระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงสรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ จึงคุกเข่าลงพนมมือด้วยความเคารพและทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ได้เห็นอำนาจบารมีอันไพศาลมิอาจประมาณได้ของพระกษิติครรภ์พุทธเจ้าทั้งพระประณิธานของพระองค์ที่จะยังประโยชน์สุขให้แก่สรรพสัตว์ ด้วยเหตุนี้ ข้าพระองค์จึงได้ทูลถามถึงอำนาจบารมี อีกทั้งภารกิจของพระองค์ในการแผ่พระธรรมคำสอนให้กว้างไกล ข้าพระองค์สัญญาว่าจะช่วยในงานเผยแผ่พระธรรมในส่วนของข้าพระองค์เอง ขอพระโลกนาถเจ้าได้โปรดมีรับสั่งถึงพระสูตรนี้ และท่รงชี้แนะว่าข้าพระองค์ควรจะทำอย่างไรในการเผยแผ่คำสอนของพระสูตร

                พระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงทรงตอบว่า “พระสูตรนี้มีชื่ออยู่ 3 ชื่อดังนี้

                1 พระประณิธานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์

                2 รากฐานการปฏิบัติของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์

                3 ความตั้งใจมั่นของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์

                และเพราะพระกษิติครรภ์ได้ทรงตั้งมหาประณิธานไว้หลายกัปมาแล้ว เพื่อยังประโยชน์สุขให้แก่สรรพสัตว์ จึงเป็นหน้าที่ของพวกท่านทั้งหลายที่จะสร้างความปรองดอกกับประณิธานเหล่านั้น เพื่อจะได้ช่วยเผยแผ่คำสอน”

                หลังจากที่พระจักรวาลโพธิสัตต์ได้ยินรับสั่งจากพระพุทธองค์จึงพนมมือทูลลาไปด้วยความเคารพ

บทที่ 7

ผลประโยชน์แก่คนที่มีชีวิตและคนที่ตายแล้ว

                ขณะนั้น พระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตต์ทูลพระศากยมุนีพุทธเจ้าว่า “พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์เห็นว่าสรรพสัตว์ในชมพูทวีป ได้ประกอบอกุศลกรรม ทั้งทางกาย วาจา และใจ หากเขาจะมีโอกาสได้บำเพ็ญกุศลบ้าง ก็กลับทำอย่างเฉื่อยชา และเมื่อมีโอกาสที่จะทำชั่ว เขาก็ทำชั่วต่อสรรพสัตว์เหล่านี้ ก็ยังเดินอยู่ในโคลนตมแบกภาระหนักบนหลัง ยิ่งเดินไปก็ยิ่งลึกลไปในปลัก แต่ถ้าพบคนที่มีปัญญาก็จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งไปบ้างสักครึ่งค่อนหรือทั้งหมด เพราะผู้มีปัญญาย่อมมีพลังที่เหนือกว่า ไม่ลำพับจะให้เท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ความหลงผิดเพื่อให้ยืนได้ถูกต้อง ตั้งใจที่จะไม่ทำชั่วอีก ทำให้หลีกเลี่ยงอกุศลได้โดยสิ้นเชิง”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จึงทูลพระพุทธองค์ว่า “พระโลกนาถเจ้า คนที่มีนิสัยชั่วร้ายนั้น เริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆ แต่มันเพิ่มพูนขึ้น บิดา มารดา ญาติพี่น้อง มิตรสหาย ควรจะได้ทำบุญกุศลให้แทนเวลาที่พวกนี้กำลังใกล้ตาย อาจจะถวายธงปฏัก ที่เขียนข้อความจากพระสูตร จุดตะเกียงถวายประทีป ให้สวดพระสูตร หรือถวายไทยทานเครื่องสักการะต่อหน้าแท่นที่บูชาพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตต์เจ้า เป็นบุญกุศลสำหรับญาติพี่น้องที่จะได้สวดพระนามของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตต์เจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือแม้แต่สวดพระนามของพระสูตรศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าคนใกล้ตายให้เขาได้ยิน โทษบาปที่เขาได้ทำไว้ซึ่งอันจะส่งผลให้เขาตกลงสู่อบาย ก็จะแก้ไขได้ เพราะครอบครัวของเขาได้ทำบุญกุศลให้แทนตัว

                “เมื่อคนใกล้ตายจากไปบรรดาญาติพี่น้องยังคงทำบุญให้แทนตัวต่อไป 49 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ตายจะไม่ไปตกในอบายภูมิ แต่จะได้ไปจุติในสรวงสวรรค์ หรือเกิดในโลกมนุษย์มีอายุยืนยาวมีความสมบูรณ์พูนสุข ญาติที่ยังมีชีวิตของผู้ตายที่ได้ทำบุญกุศลนั้น ก็จะได้รับประโยชน์สุขเป็นทวีคูณ

                “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์หวังว่า ทวยเทพ  นาค อสูร เปรต มโหรค มนุษย์ และอมนุษย์ จะช่วยกันชักจูงให้ผู้คนที่อยู่ในชมพูทวีป ไม่ทำชั่วทำบาปโดยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือประกอบอกุศลกรรมอื่น เช่นถวายบูชายัญโดยการฆ่าสัตว์เพื่อถวายแก่ทวยเทพ แทนญาติที่เสียชีวิต

                “ทำไมจึงไม่ควรฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะในการถวายบูชายัญด้วยเลือด จะไม่เป็นประโยชน์แม้แต่น้อยแก่วิญญาณของญาติที่ตายไป แต่จะยิ่งทำให้เขาต้องทุกข์มากขั้น เขาจะประสบโชคร้ายในอนาคตที่สาหัสมากขึ้น เพราะการเสียเลือดเนื้อ หากผู้ตายได้ทำกรรมดีไว้บ้างที่จะช่วยให้เขาได้ไปเกิดในสวรรค์หรือเกิดในโลกมนุษย์แต่อกุศลกรรมที่ญาติพี่น้องไปทำแทนเขา กลับจะทำให้เขาเสียผลประโยชน์ และทำให้หนทางสู่ความหลุดพ้นกลับช้าลง

                “หากผู้ใกล้ตายไม่มีบุญกุศลเลย ตามวิบากกรรมของเขาเองเขาก็ต้องไปเกิดลำบากอยู่แล้ว แต่ญาติพี่น้องกลับไปรับฟังคำแนะนำผิดๆกลับไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแทนผู้ตายราวกับคนที่หิวโหยมา 3 วัน เดินทางมาไกล ซ้ำแบกภาระหนักอึ้งบนหลัง เพื่อนบ้านกลับเอาสัมภาระมาใส่ทับลงไปอีก ก็ไม่สามารถทนทานที่จะรับน้ำหนักได้ พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ได้เห็นว่า ให้ผู้ที่อยู่ในชมพูทวีปนั้น สามารถทำตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ประกอบกรรมดี แม้เล็กบางเท่าเส้นผม หรือแม้เพียงหยดน้ำหยดหนึ่ง ทรายเม็ดหนึ่งก็ดี ธุลีเพียงธุลีเดียว กระนั้นก็ยังเป็นบุญเป็นกุศลตามกรรมของตน”

                ขณะนั้น พระเถระผู้หนึ่ง ชื่อพระเถระสุวจี ได้เป็นพระอนาคามีได้เขามาสู่ที่ประชุม ท่านได้ช่วยโปรดสรรพสัตว์ในทั่วทศทิศ เข้ามาพนมมือ ทูลถามพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ด้วยความคารวะว่า “พระโพธิสัตต์เจ้า หากญาติของผู้ตายที่มีบาปกรรมมากๆ ไม่ว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กกระทำกุศลแทนผู้ตาย เขาจะได้รับประโยชน์ด้วยหรือไม่พระเจ้าข้า”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้าตอบว่า “พระเถระที่เคารพ ด้วยพระพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์สุขของสรรพสัตว์ในบัดนี้จนถึงภายภาคหน้า ข้าฯขอตอบพระเถระเจ้าโดยย่อ  บุคคลผู้ใดก็ตาม นับแต่นี้จนถึงอนาคตกาล ผหู้ได้ยินพระนามของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตต์เจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ในขณะที่กำลังจะดับจิต ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นคนเลวหรือดี เขาก็จะได้รับการนำให้ไปสู่ความหลุดพ้นในที่สุด ผู้ใดก็ตาม ไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่ได้ทำบุญไว้ในขณะมีชีวิต แต่ใช้ชีวิตอยู่ในอบาย แต่หากญาติของเขาไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ทำบุญแทนเขา และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแทนเขา เมื่อเขาตายไปแล้ว ผู้ตายจะได้รับบุญนั้น 1 ใน 7 ส่วน ส่วนญาติที่ทำบุญให้แทนจะได้ 6 ใน 7 ส่วน ผู้ประกอบบุญกุศลนั้น ด้วยเหตุนี้ สรรพสัตว์ทั้งในปัจจุบันตลอดจนในอนาคต จึงควรบำเพ็ญกุศลในขณะยังมีชีวิตอยู่ ในขณะที่ยังแข็งแรงและมีสุขภาพดี บุญกุศลทั้งหลายที่ทำ ตนก็จะเป็นผู้ได้รับทั้งสิ้น เวลาที่ล่วงเลยไปนั้น ท้ายที่สุดความตายก็จะมาเยือนเมื่อใดก็ได้ ใน 49 วันแรกหลังจากที่ตายไป ผู้นั้นก็ยังไม่รู้วิบากกรรมของตนเอง ครั้นถึงวันที่พิพากษาตัดสินกรรมแต่อดีตของตน เขาจะไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร ก็จะมีความวิตกกังวลอย่างยิ่ง หากทำบาปเอาไว้เวลาที่มีชีวิตอยู่ ก็จะต้องตกนรก ใน 49 วัน หลังจากที่ตายไปนั้น ก็จะรอคอยให้ลูกหลานญาติมิตรทำบุญให้แทนตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องไปรับกรรมในนรกหลังจากตายไปแล้ว 49 วัน ก็จะต้องได้รับกรรมตามที่ตนได้เคยทำไว้ หากทำอกุศลกรรมไว้ในเวลาที่มีชีวิต ก็จะต้องรับโทษโดยไม่มีการช่วยเหลือให้เป็นอิสระ นานนับพันปี กรรมที่ก่อไว้นั้นอาจจะส่งผลให้ต้องตกนรกหนึ่งในห้าขุมของอเวจี หรือตกลงไปในมหานรก ต้องทนทุกข์ ทรมานนานล้านกัป พระเถระที่เคารพ หากญาติพี่น้องหรือลูกหลานของผู้ตายที่ทำอกุศลกรรมไว้มากได้ทำทานทำอาหารมังสวิรัติถวาย แก่พระพุทธเจ้าและถวายพระสงฆ์ เมื่อเขาตายไปแล้ว กุศลกรรมานี้จะช่วยปลดเปลื้องให้เขาพ้นจากอบาย ก่อนเวลาถวายอาหารแก่พระสงฆ์ และที่กำลังตระเตรียมอาหารมังสวิรัติ ไม่ควรโยนอาหารลงบนพื้น และทำให้เสียประโยชน์ไปเปล่าๆ ลูกหลานและญาติของผู้ตายไม่ควรรับประทานอาหารก่อนที่จะได้ถวายต่อพระพุทธรูปและพระสงฆ์ หากญาติของผู้ตายไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยความตั้งใจ ผู้ตายจะไม่ได้รับบุญกุศลที่ทำ แต่ตั้งใจปฏิบัติด้วยศรัทธาตั้งมั่น เขาก็จะได้รับ 1ใน 7 ของบุญกุศลนั้น ด้วยเหตุนี้ พระเถระเจ้า ถ้าสรรพสัตว์ในชมพูทวีป สามารถจะถวายอาหารมังสวิรัติทั้งต่อพระพุทธรูป และพระสงฆ์ด้วยความเคารพไม่เพียงแต่ญาติผู้วายชนม์จะได้รับผลประโยชน์ ตัวเขาเองที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะได้รับบุญกุศลนั้นมหาศาล”

                หลังจากที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์รับสั่งเช่นนั้นแล้ว วิญญาณทั้งหลายที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่มาจากชมพูทวีป ตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระศากยมุนีพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้นำสรรพสัตว์ให้ละเว้นการทำชั่ว และทำแต่ความดี ทำแต่กุศล พระเถระจึงลากลับไปด้วยอาการเคารพ

บทที่ 8

การสรรเสริญพระยามัจจุราชและบริวาร ผู้ปกครองแห่งยมเทวโลกและผู้พิพากษาคนตาย

                สมัยนั้น พระยามัจจุราช เสด็จมาที่สวรรค์ชั้นดุสิต โดยเสด็จมาจากมหาจักรวาล พร้อมด้วยบริวารนับจำนวนมิได้ ด้งปรากฏรายนามข้างล่าง เพื่อที่จะมาถวายสักการะแด่พระศากยมุนีพุทธเจ้า

1              พระยมราช ผู้ดูแลผู้กระทำผิด ที่ทำผิดทางกาย วาจา ใจ เกี่ยวกับเรื่องยาพิษ พระยมราชผู้นี้เป็นผู้ที่ชักนำผู้หลงผิด ให้ละวางและหันมาสู่ชีวิตอันประเสริฐ โดยการแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการกระทำนั้นๆ

2              พระยมราชแห่งความฦโกรธรุนแรง รูปลักษณ์ภายนอกของพระยมราชพระองค์นี้จะดุร้ายน่ากลัว แต่ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาคุณ พระองค์จะทำให้คนที่หลงผิดอยู่ในความชั่วความบาปให้เกรงกลัวบาป ด้วยความเกรงกลัวในพระองค์ ทั้งๆที่ภายในทรงเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างสูงยิ่ง และด้วยความดุของพระองค์นั่นเอง จึงช่วยให้สรรพสัตว์คนบาปเลิกละวางหันมาสู่มรรควิถีแหงกุศล

3              พระยมราชแห่งการทะเลาะเบาะแว้ง ความรักความชัง ความโลภ ความริษยากัน เป็นปัจจัยทีนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง พระยมราชพระองค์นี้ทรงแสดงให้ปรากฏว่าผลจากการทะเลาะเบาะแว้งนั้นมีโทษอย่างไร ผลที่ได้รับก็คือผู้ที่หลงผิดก็จะกลับมีความสุขและมีความปรองดองกัน

4              พระยมราชผู้ทรงใช้ท่าทีดุจราชสีห์คำราม เสือนั้นเป็นสัตว์ที่ดุร้ายน่ากลัว อกุศลความชั่วบาปจะเป็นพลังที่ทำให้มนุษย์ประพฤติผิดเป็นอันตรายเช่นเดียวกับเสือที่เป็นสัตว์ร้าย

5              พระยมราชแห่งความฉิบหาย พระยมราชพระองค์นี้ทรงแสดงให้เห็นว่าการไม่เคารพเชื่อฟังผู้อาวุโสจะนำมาซึ่งบาปเคราะห์เพียงใด พระองค์จึงทรงมุ่งมั่นที่จะโปรดให้สรรพสัตว์ได้เดินหนทางที่ถูกต้อง

6              พระยมราชผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เหาะได้ ทรงน้อมนำให้พวกยักษ์ที่เหาะได้ให้หันเข้ามาสู่มรรควิถีแห่งความถูกต้อง

7              พระยมราชผู้ทรงมีดวงเนตรดุจกระแสไฟฟ้า พระองค์นี้ทรงมีสายพระเนตรที่คมชัด สามารถแยกแยะดีชั่วได้อย่างชัดเจน ทรงลงโทษผู้กระทำผิด และประทานพรให้แก่ผู้ประกอบกุศลกรรมให้มีความสุขความเจริญ

8              พระยมราชที่มีพระทนต์ดุจสุนัขจิ้งจอก สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์ พระองค์จึงทรงแสดงผลจากการเป็นคนเจ้าเล่ห์ และทรงดัดนิสัยคนบาปให้ประพฤติปฏิบัติดีโดยไม่หยุดหย่อน

9              พระยมราชผู้ทรงมีพันตาและพันกร พระองค์ทรงใช้ทุกโอกาสที่จะสั่งสอนผู้หลงผิดให้หันมาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

10           พระยมราชผู้ทรงกลืนสัตว์ที่ดุร้ายทีทำอันตรายผู้คน

11           พระยมราชผู้ทรงขนหินและทรายเพื่อถมทะเลและแม่น้ำเพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์

12           พระยมราชผู้ทรงลงโทษให้ผู้กระทำผิดผจญกับความยากจนและทุกข์ทรมาน เพื่อว่าเขาจะได้สำนึกผิด แต่ทรงประทานพรให้แก่ผู้ที่หันกลับมาประพฤติชอบ ด้วยความสุขและทรัพย์สมบัติ

13           พระยมราชผู้ทรงแจกจ่ายอาหารให้แก่คนดี แต่สำหรับคนชั่วจะลงโทษโดยปล่อยให้หิวโหย

14           พระยมราชผู้ทรงมีหน้าที่ลงโทษคนขี้ตระหนี่ ซึ่งแม้จะร่ำรวย แต่กลับไม่รู้จักทำความดี

15           พระยมราชผู้คอยควบคุมสัตว์ร้าย

16           พระยมราชผู้ทรงควบคุมการเกิดและอายุขัยของมนุษย์

17           พระยมราชผู้ประทานความเจ็บไข้ได้ป่วยแก่คนสัตว์

18           พระยมราชผู้ทรงดูแลอันตรายทั้งปวง

                ก ทำให้เกิดอันตรายแก่คนชั่วเป็นการลงโทษ

                ข ปกป้องคนดีให้รอดพ้นจากอันตราย

19           พระยมราชผู้มีพระเนตร 3 ตา 4 ตา 5 ตา

20           พระยมราชผู้ทรงให้การลงโทษผู้กระทำผิดบาปจากอาชญากรรม ลักขโมย ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่สำหรับคนดี พระองค์จะโปรดปรานให้พวกเขาได้ตามความปรารถนา

                บรรดาพระยมราชทั้งหลายที่กล่าวนามมาแล้ว พร้อมกับพระยมราชชั้นเล็กๆ มาถึงยังสวรรค์ชั้นดุสิต พร้อมทั้งพระยามัจจุราช เพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระยมราชใหญ่น้อยเหล่านี้ล้วนทรงมีหน้าที่ต่างกัน บ้างก็ต้องลงโทษผู้กระทำผิดหรือประทานความสุขให้แก่ผู้ประกอบกรรมดี

                ด้วยพระพุทธานุภาในพระศากยมุนีพุทธเจ้า พระโลกนาถเจ้าและพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า ที่พระยมราชเหล่านี้ได้รับการต้อนรับบนสวรรค์ชั้นดุสิต ต่างพากันยืนเป็นแถวด้วยความเคารพ

                ในขณะนั้น พระยามัจจุราชคุกเข่าลงต่อพระพักตร์ของพระพุทธจ้า แล้วทูกว่า “ พระโลกนาถเจ้า พวกเราสำนึกในพระพุทธานุภาพ และการช่วยเหลืออันทรงคุณค่า ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ที่ให้โอกาสให้เราได้มาพร้อมกันเพื่อเฝ้าพระพุทธองค์ในมหาสภานี้ พวกเรามีความยินดีเป็นล้นพ้นที่ได้รับประทางโอกาสทองที่ได้มาประชุมที่นี่และได้รับฟังคำชี้แนะ ขอให้พระองค์ได้โปรดให้ความสนใจในเรื่องที่พวกเรายังสงสัยอยู่ ข้าพระองค์จะขอประทานโอกาสเพื่อขอคำชี้แนะได้หรือไม่พระพุทธเจ้าข้า”

                พระพุทธองค์จึงรับสั่งกับพระยามัจจุราชว่า “ขอท่านจงรู้สึกเป็นอิสระที่จะไถ่ถาม และตถาคตจะได้ไขแสดงเรื่องราวให้ฟัง”

                พระยามัจจุราชก้มลงกราบพระศากยมุนีพุทธเจ้า แล้วหันไปมองพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ พลางทูลถามว่า “พระโลกนาถเจ้า สิ่งที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทรงช่วยเหลือโปรดสรรพสัตว์จากทิศทั้งหกนั้น สิ่งที่ข้าพระองค์สงสัยก็คือว่า ทำไมคนที่เพิ่งพ้นโทษขึ้นมา ก็ยังหวนกลับไปทำชั่วอีก เป็นเหตุให้ต้องถูกลงโทษอีก พระโลกนาถเจ้า ทั้งๆที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทรงมีพระกรุณาต่อสรรพสัตว์ผู้ทำผิดบาปทั้งหลาย แต่ทำไมพวกเขากลับไม่ปฏิบัติตามพระองค์ที่จะหันไปใช้ชีวิตที่เป็นบุญกุศลและหลุดพ้นจากความทุกข์ได้ตลอดไป ขอพระพุทธองค์ได้โปรดอธิบายด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

                พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งกับพระยามัจจุราชว่า “การที่จะควบคุมบังคับคนบาปในสังสารวัฏนั้น เป็นเรื่องยากโดยแท้ แน่นอนพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ได้ทรงใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปลดเปลื้องสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์มานานหลายกัปหลายกัลป์ แม้ว่าคนชั่วบาปจะถูกส่งมารับโทษในนรก พระโพธิสัตต์ก็ทรงพยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยให้เขาดำเนินชีวิตที่เป็นบุญกุศลโดยพยายามที่จะแผ่บารมีให้เขาได้ระลึกถึงอกุศลกรรมแต่อดีต แต่เป็นเพราะคนชั่วบาปนั้นมีความโน้มเอียงไปในการที่จะทำบาปอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อพ้นโทษขึ้นมาไม่นานก็กลับไปทำบาปอีก ทำให้ต้องตรนรกอีก ในความเป็นจริงจึงน่าสงสารพระโพธิสัตต์มาก ที่จะต้องทำงานนั้นชั่วกัปชั่วกัลป์ เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นทุกข์ มีตัวอย่างคือ

                “มีชายคนหนึ่ง หลงทางกลับบ้านไม่ถูก พบว่าตัวเองตกอยู่ในวงล้อมของยักษ์ สัตว์ดุร้าย และแมลงพิษ โดยบังเอิญเขาได้พบผู้มีปัญญาคนหนึ่ง บังเอิญรู้วิธีที่จะปราบยักษ์ สัตว์ร้าย และแมลง

                “ผู้มีปัญญาคนนั้น เมื่อเห็นอันตราย ก็ถามว่า “กุลบุตร เจ้ามาทางนี้ได้อย่างไร เจ้ารู้วิธีที่จะปราบสัตว์ร้ายเหล่านี้หรือ”

                “เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายผู้นี้ก็ตระหนักว่า ตนกำลังเดินอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยอันตราย ผู้มีปัญญาจึงจูงมือเขาพากออกจากเส้นทางอันตราย โดยชี้ให้เห็นทางอันเกษมศานติ์ แล้วก็กล่าวเตือนว่า “กุลบุตร ขอให้เกิดปัญญา อย่าได้กลับมาบนเส้นทางนี้อีก เมื่อหลงเข้ามาในเส้นทางนี้ ยากที่จะออกไปได้ และจะต้องประสบกับความหายนะเป็นที่สุด”

                “ชายผู้หลงทางยินดีเป็นล้นพ้นที่มีผู้นำออกมาให้พ้นจากอันตรายก่อนที่จะจากไป ผู้มีปัญญาสำทับอีกว่า “เมื่อพบสหายหรือแม้คนแปลกหน้าไม่ว่าชายหรือหญิง ขอให้เตือนเขาว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางอันตราย หากหลงเข้ามาในเส้นทางนี้ จะต้องสูญเสียแม้ชีวิต เตือนพวกเขาอย่าได้โง่เขลาต้องมาเผชิญอันตรายโดยไม่จำเป็น”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ทรงนำคนชั่วคนบาปให้พ้นทุกข์ และชี้ทางไปสู่สวรรค์หรืออมนุษยโลก เพื่อเขาถึงความสุข

                “พระองค์ได้ทำให้สรรพสัตว์เหล่านั้นได้ตระหนัก ว่าผู้ที่ทำชั่วทำบาปก็จะต้องได้รับความทุกข์ และผู้ที่ทำบุญกุศลก็จะได้เสวยสุขจากวิบากกรรมของเขาเอง และเขาก็จะไม่ทำผิดและต้องตกนรกอีก เหมือนกับคนที่หลงทาง และพบว่าตนเดินอยู่บนเส้นทางอันตราย และในท้ายที่สุด มีผู้มีปัญญามานำทางส่งไปในทางที่ปลอดภัย ฉันใดก็ฉันนั้น เช่นเดียวกัน เขาก็จะต้องระลึกเสมอว่าจะไม่หลงเข้ามาในเส้นทางอันตรายอีก

“และหากเขาได้พบมิตรสหายหรือแม้คนแปลกหน้า เขาก็จะรู้จักแนะนำคนอื่นไม่ให้พลัดหลงเข้าไปในเส้นทางอันตราย เมื่อเขาพ้นอันตราย เขาจะต้องเกิดปัญญาที่จะไม่เสี่ยงเข้าไปในเส้นทางนั้นอีก หากหลงเข้าไปบนเส้นทางนั้นอีกโดยความพลาดพลั้ง ก็แสดงว่าเขาขาดความเข้าใจที่แท้จริง และอาจจะต้องประสบความหายนะถึงชีวิต ประดุจเดียวกับคนชั่วคนบาปที่ต้องไปทนทุกข์ในขุมนรก

“พระโพธิสัตต์ผู้ทรงมหากรุณา พยายามด้วยความสามารถเป็นที่สุด ที่จะนำสรรพสัตว์ให้พ้นจากขุมนรก และชี้ทางไปสู่ความสุขความสันติ หรือการกลับไปเกิดในมุษยโลก เขาอาจจะไม่รู้ถึงผลแห่งวิบากกรรม และกระทำความชั่วทำบาปอีก ตามวิบากกรมเขาก็จะต้องไปตกนรก โดยไม่มีหวังที่จะได้รอดพ้น

ขณะนั้น พระยมราชแห่งพิษร้าย พิษแห่งอกุศลกรรมที่กระทำทั้งทางกาย วาจา ใจ พนมมือด้วยความเคารพ ทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า พวกเราพระยมราชใหญ่น้อยจำนวนมหาศาล จากทุกทิศแห่งสังสารวัฏ มีหน้าที่ในการลงโทษผู้ทำผิด และสนับสนุนให้คนที่ทำบุญกุศลได้เสวยความสุข เราได้ท่องไปในทุกมุมแห่งจักรวาล และเราแน่ใจว่ามีคนชั่วคนบาปมากกว่าคนดี เราสัญญาว่าทุกที่และทุกเมื่อที่เราได้พบไม่ว่าชายหรือหญิงในส่วนใดของโลกก็ตาม หากพบว่าเขาทำความดีแม้เพียงน้อยนิด ด้วยการถวายสักการะแด่พระพุทธรูปหรือพระโพธิสัตต์ หรือแม้ได้ยินว่าสวดพระสูตร แม้เพียงบรรทัดเดียว ข้าพระองค์พร้อมบริวารจะปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านั้นด้วยความเคารถ ราวกับถวายความเคารพต่อพระพุทธเจ้า ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ข้าพระองค์สั่งสอนอบรมบริวารและวิญญาณทั้งหลายในที่ต่างๆ ให้ได้ความคุ้มครองดูแล ผู้บำเพ็ญกุศลเช่นนี้น ข้าพระองค์จะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ร้าย โรคภัยไข้เจ็บหรืออุปัทวเหตุเกิดขึ้นแก่ตัวเขา แก่ครอบครัวของเขา และสถานที่ใกล้เคียงบ้านพักอาศัยของเขา            

พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงยินดีเป็นอย่างยิ่ง และรับสั่งว่า “ดีแล้ว ดีแล้ว พระยามัจจุราช และบริวาร ย่อมพร้อมที่จะปกปักรักษาคนที่ทำดี ตถาคตจะขอร้องให้พระราชาแห่งพรหมโลก และจักรพรรดิแห่งดาวดึงส์ดูแลให้ความคุ้มครองท่านทุกคน”

หลังจากการสนทนาที่น่าสนใจผ่านไป พระยมราชผู้มีหน้าที่ดูแลอายุขัยของสรรพสัตว์ ลุกขึ้นท่ามกลางธรรมสภา แล้วทูลถามพระพุทธองค์ว่า “พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ทำหน้าที่ดูแลอายุขัยของมนุษย์บนโลกมนุษย์ ทั้งเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อสิ้นชีวิตลงแล้ว ข้าพระองค์มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะนำประโยชน์สุขมาให้แก่มนุษย์ แต่ข้าพระองค์สังเกตดูด้วยความเศร้าใจว่า มนุษย์เป็นจำนวนมากไม่เข้าใจความตั้งใจของข้าพระองค์ที่จะช่วยเหลือพวกเขา ผลก็คือ เหล่าคนบาปก็หาความสุขไม่ได้ ไม่ว่าขณะมีชีวิตอยู่หรือเมื่อตายไปแล้ว คนในโลกมนุษย์เมื่อรอการเกิดของบุตรชายหรือบุตรหญิง เขาควรจะตั้งใจบำเพ็ญกุศล เพราะบุญกุศลนั้นจะทำให้ครอบครัวประสบสันติสุข บริวารของข้าพระองค์ และวิญญาณในละแวกนั้นไม่เพียงแต่จะคอยปกป้องคุ้มครองดูแลทั้งมารดา และทารกเกิดใหม่ แต่จะประทานความสันติสุขให้แก่บรรดาญาติๆ ของเขาด้วย ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีทารกเกิดในบ้าน จึงไม่พึงฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพื่อเป็นอาหารบำรุงแก่มารดา หรือเชิญบรรดามิตรสหายมาฉลองการเกิดของทารกโดยการดื่มเหล้าองุ่น เสพเนื้อสัตว์ และเล่นดนตรี การฉลองวันเกิดของเด็กน้อยในวิธีนี้ จะไม่นำความสุขมาให้แก่มารดาและบุตรเลย เพราะหญิงครรภ์แก่จวนครรภ์ จะมีวิญญาณร้ายอยู่รอบตัวผู้เป็นมารดา รอที่จะดูดเลือด เพื่อคุ้มครองมารดา ข้าพระองค์จะสั่งให้วิญญาณที่อยู่บริเวณนั้นให้คอยมาคุ้มกันทั้งแม่ทั้งลูกให้มีสันติสุข เมื่อทั้งมารดาและลูกน้อยมีสันติสุขเมื่อแรกคลอด ก็ควรจะถวายเครื่องเซ่นแก่วิญญาณกลับไปเลียงดูญาติมิตรโดยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งมารดาและลูกน้อยะถูกลงโทษ

“เมื่อมนุษย์ในโลกนี้ใกล้ตายข้าพระองค์พยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยคนใกล้ตาย ไม่ว่านจะเป็นคนดีคนเลวไม่ให้ตกไปสู่อบาย หากผู้ใกล้ตายเคยทำความดีในเวลาที่มีชีวิต อำนาจของข้าพระองค์ในการช่วยเหลือเขาก็จะประสบความสำเร็จ

“แม้ในกรณีบุคคลที่เคยทำความดีมาตลอดชีวิต ก็อาจจะมีวิญญาณร้ายจำนวนมาก อาจจะมาในรูปของบิดามารดาหรือญาติในอดีตเพื่อที่จะมาล่อลวงให้ผู้ใกล้ตายตกลงสู่อบาย หากผู้ใกล้ตายประกอบกรรมชั่วในช่วงชีวิต วิญญาณร้ายก็จะประสบความสำเร็จในการที่จะฉุดคร่าเขาลงสู่อบายภูมิ

“พระโลกนาถเจ้า หากผู้ที่อยู่ในสังสารวัฏ ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิงหมดสติไปในขณะที่ใกล้ตาย โดยที่เขาแยกแยะความดีความชั่วไม่ได้ ขณะนั้นเขาไม่สามารถจะเห็นหรือได้ยิน ช่วงเวลนั้นญาติของผู้ใกล้ตายควรสวดพระสูตร และถวายสักการะแด่พระพุทธรูปและพระโพธิสัตต์ กุศลกรรมเหล่านี้จะช่วยขจัดวิญญาณร้ายออกไป พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตต์จะช่วยให้ผู้ใกล้ตายไม่ต้องตกลงไปสู่อบาย

“พระโลกนาถเจ้า หากผู้ใกล้ตายมีโอกาสได้ยิน แม้เพียงพระนามของพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตต์ หรือการสวดพระสูตร หรือแม้แต่ว่าคาถาเพียงบรรทัดเดียวจากพระสูตร ข้าพระองค์ยืนยันได้ว่า ผู้ใกล้ตายเหล่านี้จะไม่ต้องตกนรกอเวจีใน 5 ขุมใหญ่ หากผู้ใกล้ตายเคยประกอบอกุศลกรรมเล็กๆน้อยๆ ซึ่งจะทำให้ต้องตกลงสู่อบายเพื่อรับโทษ เขาก็จะหลุดพ้นทันทีที่ได้ยินพระนามของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตต์ หรือการสาธยายพระสูตร”

“พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงรับสั่งกับพระยมราชผู้มีหน้าที่ดูแลการเกิดการตายว่า “ท่านมีความเมตตาอย่างยิ่ง ที่ได้ตั้งประณิธานอย่างมั่นคงพร้อมในความกรุณาที่จะปกปักรักษามวลมนุษย์ทั้งชายหญิงตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่และหลังความตาย ตถาคตหวังว่า ท่านจะตั้งใจบำเพ็ญตามประณิธานโดยไม่ย่อหย่อน เพื่อว่าท่านจะได้ช่วยโปรดผู้หลงผิดทั้งหลายให้หลุดพ้น และให้เข้าถึงซึ่งความสุขที่ยั่งยืน”

พระยมราชผู้ที่ดูและการเกิดและการตาย ทูลพระพุทธองค์ว่า “ขอพระองค์อย่าได้ทรงกังวล ข้าพระองค์จะยังคงเพียรพยายามอย่างที่สุดที่จะช่วยสรรพสัตว์ในสังสารวัฏ ทั้งในขณะที่เกิดและขณะที่กำลังจะตาย เพื่อช่วยให้เขาสงบ และพบกับความสุข ข้าพระองค์จะแสวงหาโอกาส เมื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายตั้งใจฟังคำสอนของข้าพระองค์ พวกเขาจะได้หลุดพ้นอย่างแท้จริง และจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง”

ขณะนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้า รับสั่งถึงพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ว่า “พระยมราชผู้ดูแลการเกิดการตายนี้ ทรงเป็นพระยมราชมาหลายพันชาติแล้ว ทรงกระทำทุกวิถีทางที่จะช่วยมนุษย์ในช่วงของการเกิดและการตาย จริงๆแล้วมิได้ทรงเป็นภูตผีปีศาจ แต่ด้วยความกรุณาและความเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ พระองค์แปลงร่างเป็นภูตผีปีศาจเพื่อทำหน้าที่พระยมราช ท่านก็จะได้บรรลุพุทธภูมิในอีก 170 กัปข้างหน้า จะมีพระนามว่า นิรลักษณะพุทธเจ้าจะทรงมีพระชนมายุยืนยงเป็นเวลานานในโลกแห่งความบริสุทธิ์

“เรื่องราวของพระยมราชพระองค์นี้ อยู่เหนือความคิดและคามสามารถที่จะอธิบายได้ จำนวนผู้คนที่ท่านได้ช่วยเหลือมาแล้วมีจำนวนมหาศาลเกินที่จะประมาณได้”

บทที่ 9

การสวดพระนามของพระพุทธเจ้า

                วาระนั้นพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ทูลพระศากยมุนีพุทธเจ้าว่า “พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ขอโอกาสที่จะได้ประกาศให้ทราบว่า ในอนาคต มนุษย์จะได้รับประโยชน์อย่างไร ในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่และ ขณะที่เขาใกล้ตาย ข้าพระองค์หวังว่าพระองค์จะเมตตามีเวลาพอที่จะรับฟังบ้าง”

พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงทรงเปิดเผยแก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ว่า “ด้วยความเมตตาอันหาประมาณมิได้ของท่าน ท่ะพยายามช่วยปลดเปลื้องคนบาปทั้งหลายจากการที่จะต้องไปสู่ภพทั้ง 6 ตอนนี้ เป็นโอกาสเหมาะแล้ว ขอได้โปรดไขแสดง เพราะตถาคตจวนจะปรินิพพานแล้ว ตถาคตจะได้ประทานพรให้ท่านประสบความสำเร็จในการรักษาประณิธานอันมั่นคงเพื่อว่า ตถาคตจะได้ไม่ต้องมีห่วงใยในสรรพสัตว์ในอนาคตกาลภายภาคหน้า

พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ จึงทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระโลกนาภเจ้า ข้าพระองค์ขอกราบทูลถึงพระนามของพระพุทธเจ้า ดังนี้

1 พระอนันต์พุทธเจ้า

                หลายกัปอันนานนับประมาณมิได้ พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า อนันต์พุทธเจ้า  ไม่ว่าชายหรือหญิงที่มีโอกาสได้ฟังพระนามของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ แม้เพียงมีความคิดถึงพระองค์ด้วย จิตคารวะเพียงช่วงสั้นๆก็จะช่วยให้เขาพ้นจากการเกิดการตายเป็นเวลา 40 กัป สาธุชนจะได้รับความสุขอันหาประมาณมิได้ หากเขาจะได้สร้างพระพุทธรูป ถวายสักการะและชื่นชมพระองค์

2 พระธรรมชาติวิเศษพุทธเจ้า

                เช่นกันหลายกัปมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า ธรรมชาติวิเศษพุทธเจ้า ไม่ว่าชายหญิงใด ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธองค์ และมีความเคารพในพระองค์จะได้เข้าถึงพุทธภูมิในท้ายที่สุด

3 พระปัทมปาณิพุทธเจ้า

                เช่นกัน มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง พระนามว่า ปัทมปาณิเป็นปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) พระหัตถ์ทรงดอกบัว ชายหญิงใดมีโอกาสได้ฟังแม้พระนามของพระองค์ท่านก็จะมีบุญที่จะได้ไปเกิดในสวรรค์ 6 ขั้น ถึงพันชาติ และท้ายสุดก็จะได้เข้าสู่พุทธภูมิ

4 พระสิงหนันทะพุทธเจ้า

                หลายกัปมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สิงหนันทะพุทธเจ้า ไม่ว่าชายหรือหญิง ที่อยู่ในระยะที่จะได้ยินพระนามของพระพุทธองค์ และระลึกถึงพระองค์ด้วยความเคารพ ย่อมถึงซึ่งประโยชน์ในการที่จะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมหาศาล ทั้งยังได้รับพรจากพระพุทธองค์และได้เข้าถึงพุทธภูมิในท้ายที่สุด

5 พระกรกุจฉันทะพุทธเจ้า (กกุสันโธ)

                มีพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของภัทรกัปนี้ เป็นลำดับที่ 4 ในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์ ไม่ว่าชายหรือหญิงที่มีโอกาสได้ยินพระนามของพระองค์ และด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ถวายสักการะและชื่นชมพระองค์ ก็จะได้เป็นมหาพราหมณ์ ท่ามกลางธรรมสภาของพระพุทธเจ้าถึง 1 พันองค์ในภัทรกัปนี้ ได้รับพรจากพระองค์ เขาก็จะได้เข้าถึงพุทธภูมิในเวลาต่อมา ผู้นั้นจะได้บุญอย่างยิ่งโดยการสวดพระนามของพระองค์

6 พระวิปัสสีพุทธเจ้า

                มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า วิปัสสี ไม่ว่าชายหญิงใดที่มีโอกาสได้ยินพระนามของพระองค์ จะไม่ต้องตกนรก เขาจะได้ไปเกิดขนสวรรค์ หรือในโลกมนุษย์ จะมีประโยชน์สุขยิ่ง

7 พระรัตนเกตุพุทธเจ้า

                หลายกัปมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระรัตนเกตุพุทธเจ้า ชายหรือหญิงก็ดี ที่ได้มีโอกาสได้ยินพระนามของพระองค์ จะไม่ต้องตกลงไปสู่อบาย และจะได้เกิดบนสวรรค์ มีความสุขเป็นที่ยิ่ง

8 พระคุณประทีปพุทธเจ้า

                มีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระคุณประทีปพุทธเจ้า ชายหรือหญิงใดที่บังเอิญได้ยินพระนามของพระองค์ และน้อมใจระลึกถึงพระองค์ด้วยความเคารพ จะได้บรรลุอรหันต์ผลในไม่ช้า

9 พระกัสยพุทธเจ้า

                มีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระกัสยพุทธเจ้า ชายหรือหญิงก็ดีที่ได้มีโอกาสได้ยินพระนามของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จะรอดพ้นจากวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิดถึง 100 กัป

10 พระมหาภิชนาญาณธิภูพุทธเจ้า

                มีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระมหาภิชนาญาณธิภูพุทธเจ้า ชายหรือหญิงก็ดี แม้มีโอกาสได้ยินพระนามของพระองค์ ก็จะมีโอกาสที่จะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้านับจำนวนไม่ถ้วย ที่จะได้โปรดสอนจนเขาได้เข้าถึงพุทธภูมิ และยังมีพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆอีก เช่น

                1 พระจันทรประภาวิสุทธิ์พุทธเจ้า

                2 พระบรรพตราชพุทธเจ้า

                3 พระวิสุทธิราชพุทธเจ้า

                4 พระปัญญาชัยพุทธเจ้า

                5 พระปัญญาสมบูรณ์พุทธเจ้า

                6 พระวิสุทธิเลิศพุทธเจ้า

                7 พระสิทธวิเศษพุทธเจ้า

                8 พระจันทรประภาสสมบูรณ์พุทธเจ้า

                9 พระจันทรมุขพุทธเจ้า

                เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าอีกจำนวนมาก

                พระโลกนาถเจ้า สรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะมาจากสวรรค์หรือโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ในปัจจุบันหรือในอนาคต ที่สามารถจะสวดพระนามของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดองค์หนึ่งที่เอ่ยถึงข้างต้นนี้ ก็จะได้บุญยิ่ง และหากได้สวดพระนามาของพระพุทธองค์ได้มากขึ้นก็จะได้บุญมากขึ้น สรรพสัตว์เหล่านั้นจะได้ประโยชน์อย่างยิ่งทั้งในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่และหลังจากที่ตายไปแล้ว เขาจะไม่ต้องตกนรก หากญาติของผู้ใกล้ตายสวดพระนามของพระพุทธเจ้าแม้เพียงพระองค์เดียว บุคคลผู่ใกล้ตายนั้นก็จะรอดพ้นจากการตกลงไปสู่อบายภูมิ ยกเว้ณกรณีที่ต้องโทษหนักในอเวจี การลงโทษในอเวจีนั้นหนักหนามาก ผู้ที่ทำบาปหนักจะมีทางรอดได้ยากนับเป็นล้านกัป

                หากผู้อื่นสามารถสวดพระนามของพระพุทธเจ้าให้กับคนใกล้ตายโทษของเขาจะลดน้อยลง และหากผู้ใกล้ตายสามารถท่องพระนามพระพุทธเจ้าได้ด้วยตัวเอง ก็จะมีผลดีกว่า เขาจะได้รับความสุขอย่างยิ่งและสามารถหลีกเลื่อยงการถูกลงโทษจากอกุศลกรรมที่ตนเองได้ทำไว้ในขณะยังมีชีวิตอยู่

บทที่ 10

เปรียบเทียบกับบุญจากการใส่บาตร

                ในเวลานั้น พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า ด้วยพระบุญญาธิการของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ลุกขึ้นจากที่นั่งคุกเข่าพนมมือทูลพระพุทธองค์ว่า “พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์เห็นว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วบุญจากการใส่บาตรหรือการถวายทานนั้นแตกต่างไปบ้างไม่มากน้อย บางคนได้รับผลตอบแทนภายในชีวิตเดียว บางคนได้รับผลต่อเนื่องกันถึง10 ชาติ บางคนได้เสวยบุญอยู่นับแสนชาคติ ข้าพระองค์มิอาจจะหยั่งรู้ได้ว่าทำไมจึงมีความแตกต่างกันขนาดนั้น ขอพระองค์จงได้โปรดเมตตาอธิบายด้วย” พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงตอบว่า “ตถาคตจะอธิบายให้ฟังถึงความแตกต่าง เพื่อเป็นรางวัลแก่สรรพสัตว์ที่สร้างทานบารมีในชมพูทวีป ตถาคตจะอธิบายให้ผู้ที่ประชุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ตลอดดาวดึงส์และหวังว่าทุกคนจะตั้งใจฟัง” พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์กราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าพระองค์มีความสงสัยอยู่ และปรารถนาที่จะได้รับฟังการเปรียบเทียบในเรื่องการใส่บาตรทำบุญ”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งว่า “หากพระราชา อำมาตย์ พระเถระ วรรณะกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ วรรณะพราหมณ์ที่ยิ่งใหญ่ ในชมพูทวีป หากบุคคลเหล่านี้ที่ได้ระบุนามแล้ว ได้พบกับบุคคลผู้มีความยากจน หรือผู้ที่ยังไม่ได้พัฒนาตน หากบุคคลเหล่านั้นได้ทำบุญแก่พวกเขา ด้วยความเมตตากรุณา มีความยิ้มแย้ม มอบของให้แก่คนยากจนด้วยมือของตนเอง หรือผ่านผู้แทน และพูดจาปลอบประโลมเขา ผุ้ให้ทานในลักษณะนี้ย่อมได้บุญมหาศาลดุจเม็ดทรายในคงคานที ทั้งนี้ผู้ให้ทานเป็นผู้ปฏิบัติความเมตตาอันหาประมาณมิได้ แก่คนที่ยากจนที่สุด คนที่ต่ำต้อยที่สุดและคนที่ยังไม่ได้พัฒนา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้เสวยบุญกุศลต่อมานับแสนชาติ พรั่งพร้อมด้วยรัตนะทั้ง 7 พรั่งพร้อมด้วยอาหารที่ดี และมีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มบริบูรณ์ในอนาคต เช่นกัน หากพระราชา อำมาตย์ พราหมณ์ ได้เห็นพระพุทธรูป วัด เจดีย์ พระโพธิสัตต์ พระอรหันต์ หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าในชาติต่อๆไป หากได้ถวายอาหารต่อพระองค์เหล่านั้นด้วยมือของตนเอง ผู้ถวายทานเช่นนี้ ย่อมจะได้ไปจุติเป็นพระราชาแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่ในความสุขสำราญนานถึง 3 กัป ผู้ถวายทานเหล่านี้สามารถแผ่บุญกุศลไปยังทศทิศ และผู้ถวายทานเหล่านี้จะได้เป็น มหาพรหมเทวราช เป็นพระราชาแห่งพรหมโลกทั้ง 18 ชั้น ติดต่อกันนานถึง 10 กัป และถ้าในอนาคต พระราชา มุขอำมาตย์ เจ้านาย พระเถระ มหากษัตริย์ และพราหมณ์ ได้พบพระเจดีย์ วัด พระพุทธรูป พระสูตรที่เก่าชำรุด ตั้งความประสงค์ว่าจะซ่อมแซม ผู้บริจาคทานเช่นนี้ไม่ว่าทำเอง หรือส่งเสริมให้คนอื่นทำบุญ ผู้ที่ทำบุญเช่นนี้จะได้ไปเกิดเป็นพระจักรพรรดินับแสนชาติ ส่วนผู้ที่ได้รับการชักจูงสนับสนุนให้ทำบุญ ก็จะได้ไปเกิดเป็นพระราชาในแว่นแคว้นเล็กๆเป็นเวลานานนับแสนชาติ และหากอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ต่อหน้าพระพุทธเจ้าก็ดี พระเจดีย์หรือวัดก็ดี ผู้บริจาคทานในลักษณะนี้ย่อมถึงพุทธภูมิ ผลจากการบำเพ็ญบุญกุศลเช่นนี้มหาศาลยากจะคณานับ ในอนาคต หากพระราชา อำมาตย์ เจ้านาย เมื่อเห็นคนเฒ่าคนแก่มีความทุกข์ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ผู้หญิงที่กำลังจะคลอดบุตร แม้เพียงมีความคิดเมตตาสงสาร เข้าช่วยเหลือ โดยหายาให้ก็ดี อาหารและเครื่องดื่มก็ดี หรืออาบน้ำให้เพื่อให้คนป่วยมีความสุขสงบ จะได้บุญมหาศาล ผู้ทำกุศลเช่นนี้จะได้ไปเกิดบนชั้น สุธาวาสนานถึง 100กัป หลังจากนั้นจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นนานถึง 200 กัป ท้ายที่สุดก็จะได้เข้าถึงพุทธภูมิ หรือได้ยินแม้เสียงแห่งความทุกข์ยาก หากพระราชาหรือพราหมณ์สามารถสร้างบุญกุศลเช่นนี้ได้ก็จะได้รับพรมหาศาล และหากแบ่งกุศลให้ผู้อื่น ไม่ว่าน้อหรือมาก ก็จะได้ไปเกิดเป็นพระจักรพรรดิ และท้ายที่สุดจะได้เข้าถึงพุทธภูมิ

                ด้วยเหตุนี้ พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ท่านจึงควรพยายามอย่างยิ่งที่จะสิ่งเสริมให้สรรพสัตว์ สร้างบุญสร้างกุศลจากตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ หากกุลบุตรตั้งใจสร้างบุญกุศลแม้น้อยนิดเพียงเท่าเส้นผมหรือเม็ดทรายหรือแม้เพียงฝุ่นธุลี เขาก็จะได้รับพรและได้รับประโยชน์ที่มิอาจจะยกตัวอย่างมาแสดงได้ในความหลากหลาย และความมหาศาลของคุณประโยชน์เหล่านั้น

                ในอนาคตหากผู้ที่ตั้งอยู่ในกุศลได้พบพระพุทธรูป พระโพธิสัตต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือจักรพรรดิ และถายสักการะแม่พระองค์ก็จะได้รับพรและประโยชน์อย่างยิ่ง จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์หรือเทพเสวยสุขอยู่ทุกเมื่อ และหากชนเหล่านี้อุทิศส่วนกุศลให้กับสรรพสัตว์ในทศทิศ ชนเหล่านี้ก็ยิ่งจะได้รับพรเกินคำบรรยายตามตัวอย่างที่ได้ยกมาแล้ว

                หากในอนาคต ผู้ตั้งมั่นอยู่ในกุศลพานพบพระสูตรมหายานหรือได้ยินแม้เพียง 1 ย่อหน้า 1บรรทัด จากพระสูตรนั้น มีความเคารพเป็นที่ยิ่ง หากเขาแสดงความนิยม และถวายสักการะด้วยความเคารพเขาก็จะได้บุญมหาศาล และหากอุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์ในทศทิศก็จะได้รับพรเกินคำบรรยาย ต่อไปในภายภาคหน้าหากผู้มีใจกุศล ได้เห็นพระเจดีย์ใหม่ วัดใหม่ พระสูตรของมหายานใหม่และถวายสักการะ ด้วยจิตใจที่นอบน้อมเป็นที่สุด และหากได้พบสิ่งที่เก่าชำรุดทรุดโทรม ตั้งประณิธานที่จะซ่อมแซมทะนุบำรุง ทั้งยังบอกกบุญให้ผู้อื่นเกิดศรัทธาเข้าร่วมในบุญนั้น ผู้มีใจกุศลที่ตอบรับการบอกบุญดังกล่าว ก็จะได้ไปเกิดเป็นพระจักรพรรดิ และจะเป็นผู้แสดงธรรมโปรดกษัตริย์ใหญ่น้อยในอนาคตกาล หากผู้มีใจเป็นกุศล จะตั้งมั่นอยู่ในการประกอบกุศลกรรมทำแต่ความดีตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ถวายสักการะ โดยการช่อมแซมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ซ่อมแซ่มเจดีย์หรือวัด แม้จะนซ่อมแซมพระสูตรที่เก่าชำรุด บุญกุศลนั้นแม้จะน้อยนิดเพียงเส้นผมหรือฝุ่นธุลีหรือเม็ดทรงในคงคานที หรือแม้เพียงหยดน้ำ หากได้อุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่สรรพสัตว์ในอาณาจักรทั้ง 10 ผู้บำเพ็ญกุศลนั้นจะได้รับพรไปตลอดแสนชาติ หากเขาอุทิศส่วนกุศลให้แก่ครอบครัวและญาติ ญาติของเขาก็จะมีแต่ความสุขไปตลอดชั่ว 3 ชาติ ในการให้ประโยชน์เพียงหนึ่ง แต่ผลที่ได้รับจะนับร้อยนับพันทวีคูณ ด้วยเหตุนี้พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ผลจากการทำทานนั้นมหาศาลยิ่งนัก”

บทที่11

ปฐวีเทพผู้คุ้มครองพระธรรม

                ขณะนั้น วิญญาณที่คุ้มครองดูแลโลก ได้กราบทูลพระศากยมุนีพุทธเจ้า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ในอดีต ข้าพระองค์ได้ถวายสักการะต่อพระมหาโพธิสัตต์จำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ทรงเกียรติและปัญญา และได้ช่วยเหลือโปรดสรรพสัตว์มามากต่อมาก พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ มีความสัมพันธ์อันแนบแน่นต่อสรรพสัตว์ในชมพูทวีป พระมัญชุศรี พระสมัตรภัทรโพธิสัตต์ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ และพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ทั้งทุกพระองค์นั้น ใช้ภาคต่างๆ จำนวนนับพันที่จะโปรดคนบาป คนหลง ในการอุบัติขึ้นในทิศทั้งหก และทุกพระองค์ก็ได้สัมฤทธิผลตามประณิธานแล้ว พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ตั้งมหาประณิธานดุจเม็ดทรายในคงคานทีที่จะช่วยรื้อสัตว์ขอนสัตว์ในการอุบัติขึ้นในทิศทั้งหก พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ได้เห็นว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อาจจะสร้างรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์หล่อจากเหล็ก ทองเหลือง เงิน ทองคำ หรือเป็นภาพเขียน บูชาไว้ในห้องที่ทำด้วยดิน ด้วยหิน ไม้ไผ่ หรือไม้ ในสถานที่สะอาดสะอ้าน ในทางทิศใต้ของที่พัก และถวายสักการะแก่พระโพธิสัตต์ โดยน้อมความเคารพสักการะเป็นอย่างยิ่ง บูชาด้วยของหอม บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่นในกุศลเช่นนี้ ย่อมเข้าถึงประโยชน์สุข ทั้ง 10 ประการในอาณาบริเวณที่อยู่ ประโยชน์ 10 ประการนี้คืออะไร

                1 ดินดีและได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์

                2 ทั้งครอบครัวจะอยู่กันอย่างสันติสุข

                3 ญาติที่ตายไปแล้วย่อมไปสู่สรวงสวรรค์

                4 ญาติที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีอายุยืนยาว

                5 ตั้งความปรารถนาสิ่งใดนจะได้สมปรารถนา

                6 จะไม่ต้องประสบภัยพิบัติจากน้ำท่วมหรือไฟไหม้

                7 จะพ้นจากอกุศลสิ่งชั่วทั้งปวง

                8 จะไม่มีวันฝันร้าย

                9 ไม่ว่าจะไปที่ใดจะมีผู้คุ้มครอง

                10 จะพบปะแต่สิ่งที่เป็นกุศล

                พระโลกนาถเจ้า สรรพสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบัน และแม้ในอนาคต จะได้รับประโยชน์อย่างเดียวกัน หากประกอบบุญกุศลถวาย สักการะที่บ้านของเขาเช่นนี้ พระโลกนาถเจ้า หากสรรพสัตว์ในอนาคตรักษาพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ หรือบูชาพระรูปของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ตามบ้านของเขา และหากเขาสวดพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตรด้วยหรือถวายสักการะแด่พระองค์ ข้าพระองค์จะพยายามปกป้องบุคคลผุ้นั้น ทั้งกลางวันกลางคืน เขาจะไม่มีภัยจากน้ำท่วม ไฟไหม้ โจรภัย ทุพภิกขภัย หรือเหตุการณ์ร้ายอื่นไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก” พระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงรับสั่งแก่ปฐวีเพทว่า “ท่านผู้ทรงอำนาจ และวิญญาณใหญ่น้อย ทั้งหลายมิอาจเทียบท่านได้ ทั้งนี้เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในชมพูทวีปได้รับความคุ้มครองจากท่าน วัตถุธรรมทั้งหลาย นับตั้งแต่ เม็ดทรายในแม่น้ำคงคา จนถึงเพชรนิลจิตดาที่มีค่าสูงยิ่ง ล้วนแล้วแต่มาจากดิน ซึ่งอยู่ในอำนาจของท่านทั้งสิ้น และทานก็ได้กล่าวชื่อชมบุญญาธิการของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ บุญญาธิการและอำนาจของท่านยิ่งใหญ่กว่าวิญญาณใหญ่น้อยทั้งหลายนับพันเท่า หากสรรพสัตว์ทั้งหลายในอนาคต จะถวายเครื่องสักการะแก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ หรือสวดพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตร ดำเนินชีวิตด้วยการบำเพ็ญบุญกุศลตามคำสอนของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า ขอท่านจงได้ใช้อำนาจอิทธิฤทธิ์ของท่าน ปกป้องคุ้มครองดูแลพวกเขาให้ห่างไกลทุกข์ อย่าให้เขาต้องตกอยู่สภาพทุกข์ยาก หรือแม้กระทั่งต้องได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่เป็นทุกข์ พวกเขามิใช่จะได้รับความคุ้มครองจากท่านเท่านั้น ยังได้รับความคุ้มครองดูแลจากทวยเทพ โดยการถวายสักการะต่อพระรูปของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์หรือสวดพระสูตรแล้ว พวกเขามิใช่จะได้รับความคุ้มครองจากทวยเทพ แต่ยังเป็นอิสระจากทะเลแห่งความทุกข์และท้ายสุดก็จะได้เข้าถึงพระนิพพาน”

บทที่ 12

ประโยชน์จากการเห็นและได้ยิน

                สมัยนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้า พระโลกนาถเจ้า ทรงเปล่งพระรัศมีสีต่างๆ มีรัศมีที่งดงามปรากฏออกมาจากพระเศียร พระเศียรกำกับทั้งพระวรกายและพระรัศมีจากจอมพระเศียรประเสริฐกว่าทั้งปวง พระพุทธองค์ทรงเปล่งพระรัศมีจากจอมพระเศียรเพื่อให้ธรรมสภาได้ประจักษ์ว่าพระองค์ก็ทรงให้ความเคารพในพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เจ้า และพระสูตรของพระองค์ด้วย

                เมื่อทรงเปล่งพระรัศมีเป็นประกายสีต่างๆ ให้ปรากฏแล้ว  ยังทรงเปล่งพระสุรเสียงอันประเสริฐด้วย ทรงมีจุดประสงค์ที่จะแสดงทั้งแสงและเสียง เพื่อให้ปรากฏแก่ธรรมสภา ถึงประโยชน์มหาศาลอันจะมีจะได้จากแสงและเสียงนั้น

                พระโลกนาถเจ้ารับสั่งกับผู้ที่เฝ้าแหนอยู่ ณ ดาวดึงส์ ทรงสรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ที่ได้นำประโยชน์สุข มาสู่ทวยเทพเทวดาและมวลมนุษย์ และทรงบรรยายให้ฟังว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ได้ทรงบำเพ็ญบุญบารมีในทศภูมิของพระโพธิสัตต์โดยไม่ย่อท้อและมุ่งมั่นในพระนิพพานมาโดยตลอด หลังจากที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ได้กล่าวแล้ว พระมหาโพธิสัตต์อีกพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระอวโลกิเตศวร ได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง พนมมือถวายนมัสการแด่พระพุทธเจ้าแล้วทูลว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์มีมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทรงตั้งมั่นอยู่ในเมตตาธรรม มีหลายภาคที่ได้โปรดสรรพสัตว์ นำพวกเขาให้พ้นทุกข์ อำนาจจากบุญกุศลและบุญญาธิการของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์นั้นหาประมาณมิได้ ข้าพระองค์ได้ยินพระโลกนาถเจ้า และพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันหาประมาณมิได้จากทศทิศได้กล่าวสรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ และกล่าวถึงบุญกุศลของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ อันมีมากมายหาศาลเกินกว่าที่พระพุทธเจ้าทั้งในอดีตปัจจุบัน และอนาคต จะพรรณนาได้

                พระโลกนาถเจ้าได้ทรงมีพระเมตตา สัญญาว่าจะเล่าให้ธรรมสภาฟังในภาระหน้าที่ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ พวกเราจึงหวังว่าพระพุทธองค์จะทรงพระเมตตา เพื่อประโยชน์สุขของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วไป ปัจจุบัน และอนาคต ที่จะทรงเล่าถึงประโยชน์อันหาที่จะประมาณมิได้ ที่พระองค์ได้กระทำแล้วต่อสรรพสัตว์ และขอให้สัตว์ทั้งหลายใน 8 ภูมิ จะได้รู้ว่าพึงถวายสักการะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์อย่างไรที่จะได้เข้าถึงประโยชน์และความสุขนั้น”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้า ได้รับสั่งกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ว่า “ท่านมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบรรดาสรรพสัตว์ในสังสารวัฏ ไม่ว่าจะเป็นเทพ เทวดา นาค มนุษย์ชาย หญิง วิญญาณ ภูตผีปีศาจ และคนบาปในภูมิทั้ง 6 เมื่อได้ยินพระนามของพระองค์ก็ดี ได้เห็นรูปภาพของพระองค์ก็ดี ชื่นชมในบุญบารมีของท่านก็ดี สรรเสริญในความเมตตาของท่านก็ดี พวกเขาทั้งหลายจะมีความก้าวหน้าในการบรรลุธรรมโดยไม่มีการถอยหลัง และก่อนที่จะได้เขาพุทธภูมิ ก็จะได้เกิดเป็นเทวดาและมนุษย์มีความสุขเป็นที่ยิ่ง เมื่อสร้างบุญกุศลมากพอก็จะได้พบพระพุทธเจ้าและจะได้รับพุทธทำนายว่าจะได้เข้าถึงพุทธภูมิ ด้วยมหากรุณาที่มีต่อคนบาปในโลก ท่านได้ขอให้พระตถาคต เล่าถึงประโยชน์มหาศาลของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ที่พึงมีต่อสรรพสัตว์ ตถาคตยินดีที่จะเล่าให้ฟัง และหวังว่าท่านจะตั้งใจฟังด้วยดี” พระอวโลกิเตศวรทูลตอบว่า “ขอพระโลกนาถเจ้าทรงพระกรุณา”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ว่า “เมื่อทวยเทพที่อยู่ในทศทิศทั้งในอนาคตหรืออดีตลิ้นสุดการเสวยสุข ก็จะเกิดความเศร้าหมอง 5 ประการ และจะต้องตกสู่อบาย ถ้าทวยเทพเหล่านี้ เมื่อมีความเศร้าหมองทั้ง 5 ประการย่างกรายเข้ามา หากมีโอกาสแม้ได้เห็นรูปเคารพของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ หรือได้ถวายถวายนมัสการต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เพียงครั้งเดียว ทวยเทพเหล่านั้นก็จะเพิ่มพูนความสุข สามารถหลีกเลี่ยงไม่ต้องตกลงสู่อบายทั้ง 3 ภูมิ หากทวยเทพเหล่านี้ ถวายเครื่องสักการะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เช่น ถวายดอกไม้หอม ผ้าแพรพรรณ อาหาร และเครื่องดื่ม เพชรนิลจินดา ฯลฯ ก็จะได้รับประโยชน์สุขมหาศาลเป็นผลตอบแทน หากสรรพสัตว์ทั้ง 6 ภูมิ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ในสหโลกธาตุ เมื่อได้ยินพระนามพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ในขณะที่กำลังจะตาย ก็จะไม่ต้องตกลงไปในอบายทั้ง 3 ขุม หากบิดามารดาหรือาติของผู้ใกล้ตายขายทรัพย์สมบัติของคนเจ็บ และใช้ปัจจัยนั้นสร้างพระรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ และคนเจ็บรับรู้การทำบุญแทนตัวเขา และแม้เขาอาจจะเจ็บหนักด้วยวิบากกรรมของเขาเอง เขาก็จะพ้นจากอาการป่วยและจะมีชีวิตยืนยาว หากคนเจ็บต้องตายลงตามวิบากกรรมของเขา และจะต้อง.ถูกส่งลงสู่อบาย แต่เพราะกุศลที่ญาติทำให้แทนตัวเขาจะได้รับการละเว้นโทษานุโทษจะได้ไปเกิดเสวยสุขเป็นเทพหรือมนุษย์ หากสรรพสัตว์ในปัจจุบันหรืออนาคต สูญเสียบิดามารดาพี่ชายหรือน้องสาว ในวัยเด็กและเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และใคร่รู้ว่าเขาไปเกิดที่ใด บุคคลที่เคติบใหญ่ แล้วนั้นอาจจะสร้างพระรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ได้ยินพระนามของพระองค์ท่าน ชื่นชมในพระรูปและถวายสักการะต่อพระองค์ท่านตั้งแต่ 1 วัน  จนถึง 7 วัน ติดต่อกันโดยไม่ขาด แม้ว่าญาติผู้ตายอาจจะต้องตกนรกนานหลายกัป แต่เนื่องจากกุศลกรรมที่บรรดาญาติทำให้แทนตัว เขาก็จะได้แสวยสุขเป็นเวลานาน และหากญาติที่เป็นผู้ใหญ่เหล่านั้นคงกราบไหว้พระรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ติดต่อกันต่อไป สวดพระนามของท่านติดต่อกันถึง 21 วัน ด้วยความศรัทธามั่นในใจ พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จะปรากฏแก่พวกเขา และจะบอกแก่พวกเขาชัดเจนว่าญาติ (ที่ตาย) ท่านจะนำเขาไปยังที่ต่างๆ ด้วยตัวเอง เพื่อให้เห็นว่า ญาติ(ที่ตาย)อยู่ที่ใด หากท่องบ่นพระนามของพระโพธิสัตต์ 1พันครั้งทุกวัน ติดต่อกัน 1 พันวัน พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จะทรงส่งปฐวีเทพ มาดูแลรักษาผู้นั้นจนตลอดชีวิต เขาจะประสบความสุข ความเจริญ มีอายุยืน จะไม่ได้พบพานความทุกข์โศก ทั้งจะไม่มีความทุกข์มาแผ้วพาน หรือความชั่วร้ายจะเข้ามากล้ำกรายได้ สุดท้ายก็จะได้ถึงพุทธภูมิ หากมีผู้ใด ไม่ว่าชายหรือหญิงในอนาคต ปรารถนาที่จะช่วยสรรพสัตว์ มั่นคงอยู่ในการเจริญกรุณา โม้มน้าวจิตใจของสรรพสัตว์ มีปัญญาเป็นที่ยิ่งที่จะช่วยให้พวกเขาพ้นทุกข์ในสามโลก บุคคลผู้นั้น หากได้เห็นพระรูปของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ท่องบ่นถึงพระนามของท่าน ยึดถือพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เป็นที่พึ่ง ถวายสักการะต่อพระองค์ จะได้สมปรารถนาในทุกสิ่งโดยปราศจากอุปสรรค

                “หากสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งในปัจจุบันและอนาคต มีความปรารถนามากมายและมีความประสงค์ที่จะสร้างกุศลอย่างยิ่ง จะสมความปรารถนา หากจะถวายสักการะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ สรรเสริญพระองค์ท่าน ถือพระองค์เป็นสรณะ กราบไหว้รูปสักการะของท่าน หากเขาเหล่านั้นปรารถนาที่จะได้ให้พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์คุ้มครองป้องกันเขาตลอดไป เขาก็จะได้เห็นพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ในความฝัน และจะได้รับคำพยากรณ์ว่าจะได้เข้าถึงพุทธภูมิ

                “หากชายหญิงใดก็ดีในอนาคต มีศรัทธาในมหายานสูตรมีความตั้งใจที่จะอ่านและสวดพระสูตรนี้แม้จะมีครูผู้ฉลาดสอน แต่อาจจะหลงลืมวิบากกรรม แต่เมื่อได้ยินพระนามของพระองค์ หรือได้เห็นพระรูปของท่าน ได้ถวายเครื่องสักการะ ถวายน้ำบริสุทธิ์แก่พระองค์ชั่ววันและคืนหนึ่งแล้วพนมมือด้วยความเคารพยิ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ ดื่มน้ำนั้นด้วยศรัทธา 7วัน หรือ 21 วัน ทำเช่นนี้ บุคคลนั้นจะได้เห็นพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ในภาคใดภาคหนนึ่งในความฝัน โดยพระโพธิสัตต์จะเทน้ำลงบนศีรษะของเขา พระโพธิสัตต์ได้ประทานปัญญาให้แก่เขาเหล่านั้น ครั้นตื่นขึ้น เขาก็จะมีปัญญาที่จะเข้าใจพระสูตร จำได้ทุกประโยค ทุกย่อหน้าเสมอ

                “หากผุ้ใดในอนาคต มีความทุกข์เนื่องจากขาดแคลนอาหารเครื่องนุ่งห่ม ปรารถนาที่จะทำสิ่งใดก็ไม่ได้สมปรารถนา เจ็บไข้ได้ป่วยเสมอ ทั้งยังมีเรื่องร้ายตลอดเวลา ไม่ได้พบความสงบสุขในครัวเรือนต้อพลัดพรากจากคนรัก ประสบแต่สิ่งที่เลวร้ายในความฝัน มิฉะนั้นก็พบกับความทุกข์ยากอื่นๆ หากคนโชคร้ายเช่นนี้ ได้ยินพระนามของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ได้เห็นรูปของพระองค์ ได้ท่องบ่นพระนามของท่านหมื่นครั้งด้วยความศรัทธา ความทุกข์ความโชคร้ายทั้งหลายจะค่ยๆคลี่คลายลง เขาจะมีชีวิตอยู่ในความสงบสุข

                “ในอนาคตหากผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในกุศล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจส่วนตัว ในงานหลวง หรืองานที่สำคัญ หากจะต้องเดินทางเข้าป่าลึก ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลที่ยากลำบาก หรือจะต้องเดินทางบนเส้นทางที่มีอันตราย บุคคลเหล่านั้น หากได้ท่องบ่อนพระนามของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์หมื่นครั้งไม่ว่าจะไปที่ใดก็จะมีเทวดาคอยคุ้มครองและจะประสบสุขเป็นนิรันดร์แม้จะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย เช่น เสือ สุนัขจิ้งจอก หรือสิงโต สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำอันตรายผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในกุศล

                พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตต์ว่า “พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์มีความใกล้ชิดกับสรรพสัตว์ในชมพูทวีป หากจะกล่าวถึงประโยชน์สุขที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายก็จะต้องใช้เวลานับแสนกัป แม้กระนั้นก็ยังเล่าได้ไม่จบสิ้น ด้วยเหตุนี้เอง อวโลกิเตศวรพึงใช้อิทธิฤทธิ์ของท่านในการเผยแผ่กษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตรให้กว้างขวางออกไป เพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏจะได้มีโอกาสเข้าพึงสันติสุขนับเป็นล้านกัป”

                จากนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้า รับสั่งอีกว่า “แม้ตถาคตจะเล่าไปถึงชั่วกัปก็ยังไม่สามารถพรรณนาอิทธิฤทธิ์ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ได้จบสิ้นในรายละเอียด ด้วยมีมากมายดุจเม็ดทรายในคงคานที การได้เห็น ได้ยิน ได้สักการะพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ แม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง จะนำประโยชน์สุขมหาศาลมาสู่มนุษย์และทวยเทพ หากมนุษย์ นาค หรือวิญญาณ ถูกส่งไปลงอบายตามวิบากกรรมของเขา พวกเขาจะได้รับการยกเว้นโทษ หากยึดพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์เป็นที่พึ่งสำหรับผู้ที่สูญเสียบิดามารดา หรือคนรัก ในระหว่างวัยเด็ก และปรารถนาที่จะทราบว่าญาติที่ตายไปแล้วไปเกิดที่ใด พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จะปรากฏพระองค์ในภาคต่างๆ และจะนำเขาไปยังที่มีญาติเหล่านั้นอยู่ แต่จะต้องสร้างพระรูปพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ สักการะพระองค์ ท่องบ่นพระนามของพระองค์วันละ 1,000 ครั้ง ติดต่อกัน 21 วัน แม้ญาติผู้ตายจะตกนรกพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ก็ช่วยให้พ้นทุกข์ หากยังสวดมนต์ต่อเนื่องและประกอบกุศลกรรม ก็จะมีโอกาสเข้าถึงพุทธภูมิ

                “หากผู้ใดประสงค์ที่จะปฏิบัติตามโพธิสัตต์มรรค พ้นไปจากความทุกข์ในสามโลก ประการแรกควรจะสักการะพระรูปของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ความปรารถนาทั้งปวงก็จะสำเร็จโดยปราศจากอุปสรรคประการที่สอง หากผู้ใดตั้งใจมั่นที่จะสวดพระสูตรและนำคนบาปให้พ้นทุกข์ แม้จะต้องประณิธานไว้อย่างดี แต่ด้วยวิบากกรรมในอดีต ทำให้ความจำไม่ดีหลงลืม หากบุคคลนั้นถวายเครื่องสักการะแก่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ด้วยดอกไม้ เสื้อผ้า อาหารและเครื่องดื่ม หรือโดยการถวายน้ำบริสุทธิ์ หลังจากสวดมนต์บนที่บูชาของพระโพธิสัตต์ชั่ว 1 วัน 1 คืน สวดมนต์แล้วดื่มน้ำนั้น และหากบุคคลนั้นรักษาศีล 5 ต่อเนื่องกัน 21 วันระลึกถึงพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ด้วยความศรัทธาอย่างยิ่ง ก็จะได้รับปัญญาโดยได้เห็นภาคใดภาคหนึ่งของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ปรากฏในความฝัน สามารถจดจำพระสูตรใดๆ ได้ทันทีที่ได้ยินนานถึงแสนชาติ ประการที่สาม หากผู้ใดยากจน เจ็บไข้ได้ป่วย ครอบครัวประสบเคราะห์กรรม ต้องพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก ฝันร้าย ทำกิจการใดๆ ไม่สำเร็จ หากถวายสักการะต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ บรรดาเคราะห์ต่างๆจะมลายไป วิญญาณทั้งปวงจะคอยคุ้มครองดูแล จะเสวยสุขในชีวิต มีทุกอย่างพร้อมบริบูรณ์ หากต้องเผชิญกับสัตว์ร้าย คนร้าย วิญญาณที่ดุร้าย ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในป่าหรือในทะเล หากสักการะพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ และถวายเครื่องสักการะต่อพระองค์ก็จะผ่านพ้นภัยพิบัติทั้งปวงไปได้”

                พระศากยมุนีพุทธเจ้า รับสั่งกับพระอวโลกิเตศวรว่า ”โปรดจงฟังพระตถาคต การพรรณนาถึงอิทธิฤทธิ์ของพระศากยมุนีพุทธเจ้าให้หมดสิ้น คงต้องใช้เวลาเป็นกัป และแม้กระนั้นพระตถาคตก็ยังไม่สามารถเล่าให้จบได้

                “ผู้คนทั้งหลายย่อประสบสุข เมื่อได้ยินพระนามของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ถวายสักการะต่อพระรูปของท่าน ถวายเครื่องสักการะแก่ท่านหากแผ่ส่วนกุศลไปยังสรรพสัตว์ในทศทิศ เขาก็จะพ้นจากความทุกข์ แห่งการเกิดและการตายและบรรลุพุทธภูมิในที่สุด ด้วยเหตุนี้ พระอวโลกิเตศวร ขอท่านจงช่วยเผยแพร่ให้มนุษย์ทั้งหลายในประเทศต่างๆที่มีจำนวนดุจเม็ดทรายในคงคานทีได้รับรู้ถึงความสามารถอันหาประมาณมิได้ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์”

บทที่ 13

คำสอนของพระศากยมุนีพุทธเจ้าต่อมนุษย์และทวยเทพ

                ในสมัยนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้า ยกพระกรอันเป็นสีทอของพระองค์ไปสัมผัสพระเศียรของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ แล้วรับสั่งว่า ”กษิติครรภ์โพธิสัตต์ กษิติครรภ์โพธิสัตต์ ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของท่านความเมตตาอันหาประมาณมิได้ของท่าน ด้วนสติปัญญาและความสามารถในการพูดของท่าน แม้จะใช้เวลานานนับกัปที่จะสรรเสริญความสามารถอันหลากหลายของท่าน ก็ยังไม่สามารถกล่าวได้ทั่วถ้วน กษิติครรภ์โพธิสัตต์ กษิติครรภ์โพธิสัตต์ จงระลึกว่าพระตถาคตยืนอยู่ ท่ามกลางธรรมสภาที่ได้มาประชุมพร้อมกัน ณ ดาวดึงส์ เมื่อประกาศว่าท่านจะต้องไม่ปล่อยให้สรรพสัตว์ใดๆ ตกอยู่ในอบายทนทุกข์ทรมาน แม้เพียงชั่ววันชั่วคืนยิ่งไปกว่านั้นจะต้องไม่ปล่อยให้เขาต้องตกลงสู่อเวจีนรก 5 ขุมล่างสุด ที่สัตว์นรกต้องทนทุกข์ทรมานต่อเนื่องกันโดยไม่หยุดหย่อนนานนับล้านกัปสรรพสัตว์ทั้งหลายมีแนวโน้มที่จะประกอบกรรมชั่ว และแม้เมื่อกลับตัวกลับใจแล้วก็ยังย้อนกลับไปประกอบกรรมชั่วได้อีกง่ายๆ และร้ายที่สุดคือสร้างนิสัยใฝ่ชั่ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์จำเป็นต้องมีภาคต่างๆเป็นล้านๆภาค ที่จะต้องคอยช่วยเหลือคนชั่วคนบาปตามลักษณะความอ่อนแอของเขา และช่วยให้เขาหลีกหนีจากความชั่ว กษิติครรภ์โพธิสัตต์ พระตถาคตขอมอบสรรพสัตว์ทั้งหลายไว้ในอุ้งมือของท่านให้ท่านดูแล สนับสนุนให้เกิดการประกอบกุศลกรรมแม้เพียงน้อยนิด สนับสนุนทั้งมนุษย์และเทวดา ทั้งชายทั้งหญิง อย่าละเลยอย่ายกเลิกความพยายามที่จะปฏิบัติแม้กุศลกรรมเล็กๆอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหน้าที่อันลึกซึ้งของท่าน ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของท่าน ที่จะต้องคอยปกป้องคุ้มครองสรรพสัตว์ ช่วยให้เขาได้พัฒนากุศลโดยไม่ท้อแท้ ในอนาคน หากมีผู้ใดที่ทำกรรมจนต้องตกนรก หากแต่ระลึกถึงพระนามของก็ดี พระโพธิสัตต์ก็ดี หรือแม้จะลึกถึงข้อความในมหายานสูตรใดๆสักบรรทัดหนึ่ง เมื่อไปถึงประตูนรก ด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของท่าน ขอให้ท่านนำบุคคลนั้นออกมาจากกทุกข์ แสดงภาคต่างๆของท่านให้ปรากฏ และช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ประสบสุข เป็นนิรันดร์”

                ขณะนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งเป็นโศลกว่า “พระตถาคตได้มอบมวลสรรพสัตว์ไว้ในมือของท่าน นับแต่ปัจจุบันไปจนถึงอนาคตและขอให้ท่านอย่าปล่อยให้ผู้ใดต้องตกลงสู่อบาย ด้วยอำนาจหน้าที่ของท่าน”

                พระกษิติครรภ์โพธิสัตต์คุกเข่าลง พนมมือกราบทูลพระศากยมุนีพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ขอได้โปรดวางพระทัย หากสรรพสัตว์ในอนาคต แม้เพียงมีความคิดรู้จักเคารพในคำสอนของพระพุทธองค์ ข้าพระองค์ก็จะทำอย่างที่สุด ที่จะช่วยปลดเปลื้องให้เขาพ้นจากความทุกข์อันเกิดจากการเกิดและการตาย น้อมนำให้เขาเข้าสู่ความหลุดพ้นโดยวิธีการต่างๆ หากข้าพระองค์ได้ล่วงรู้ว่าผู้ใดบำเพ็ญบุญกุศล ข้าพระองค์จะเพียรพยายามที่จะสนับสนุนช่วยเหลือให้เขาได้เข้าสู่พุทธภูมิโดยไม่มีวันหวนคืน

                ขณะนั้น พระโพธิสัตต์องค์หนึ่ง ชื่อ พระธรรมกายโพธิสัตต์ รับสั่งกาบพระศากยมุนีพุทธเจ้าว่าพระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ได้มายังธรรมสภานี้ และได้ยินพระพุทธองค์กล่าวสรรเสริญบุญกุศลอันหาประมาณมิได้ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ขอพระองค์ได้โปรดอธิบายด้วยว่า ผู้ที่ได้ฟังพระสูตรนี้แล้วสักการะพระรูปของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์แล้ว เขาจะได้บุญได้ประโยชน์ประการใดบ้าง ข้าพระองค์ทูลถามเช่นนี้ เพื่อข้าพระองค์จะได้ช่วยสรรพสัตว์ต่อไปในอนาคต” พระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงรับสั่งกับพระโพธิสัตต์ว่า “ขอจงโปรดตั้งใจฟังตถาคตจะเล่าให้ฟังในรายละเอียด หากผู้มีจิตเป็นกุศล ได้เห็นพระรูปขอพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ได้ยินพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์สูตร ได้สวดพระสูตรนี้ ได้ถวายสักการะพระโพธิสัตต์ ได้ถวายความเคารพต่อพระโพธิสัตต์ จะได้รับประโยชน์ถึง 28 ประการ คือ

                1 จะมีเทวดาและพญานาคคอยปกป้องคุ้มครอง

                2 พลังในการสร้างกุศลจะเพิ่มพูน

                3 โอกาสในการสร้างกุศลจะมากขึ้น

                4 จะก้าวเข้าสู่พุทธภูมิโดยไม่มีวันท้อถอย

                5 จะพรั่งพร้อมด้วยสัปปายะ

                6 จะปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

                7 จะไม่มีวันต้องเผชิญภัยน้ำท่วมไฟไหม้

                8 จะไม่มีภัยจากโจรหรือสูญเสียสมบัติ

                9 จะได้รับการเคารพจากสาธุชน

                10 จะได้รับการช่วยเหลือจากวิญญาณและทวยเทพ

                11 หญิงจะได้เกิดเป็นชาย

                12 หญิงจะได้เป็นธิดาของพระราชา ขุนนาง

                13 เมื่อไปเกิดจะมีวรรณะดี

                14 จะได้ไปเกิดในสรรรค์อีกหลายชาติ

                15 จะได้ไปเกิดเป็นกษัตริย์ หรือผู้ปกครองประเทศ

                16 จะมีสติปัญญาระลึกชาติได้

                17 ปรารถนาสิ่งใดก็จะได้สมปรารถนา

                18 จะมีความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว

                19 จะปราศจากภัยพิบัติ

                20 จะพ้นจากอกุศลวิบากทั้งหลาย

                21 จะปลอดภัยทุกเมื่อ

                22 จะฝันดีเสมอ

                23 ญาติที่ตายไปแล้วจะพ้นทุกข์

                24 เมื่อไปเกิดใหม่จะมีแต่ความสุข

                25 จะเป็นที่สรรเสริญของทวยเทพ

                26 จะเป็นผู้มีปัญญามีความสามารถ

                27 จะมีความกรุณาต่อผู้อื่น

                28 ท้ายที่สุดจะได้บรรลุพุทธภูมิ

                อีกเช่นกัน พระธรรมกายโพธิสัตต์ พวกเทพ เทวดา นาค ภูตผี ปีศาจ เมื่อได้ยินบุญกุศลอันมหาศาลของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์แล้ว สรรเสริญพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ก็จะได้รัรบผลประโยชน์ 7 ประการกล่าวคือ

                1 จะเข้าถึงภาวะทิพย์โดยรวดเร็ว

                2 จะเป้นอิสระจากอกุศลกรรม

                3 จะได้รับความคุ้มครองจากพระพุทธเจ้า

                4 จะมุ่งสู่พุทธภูมิโดยไม่มีวันถอยคืน

                5 หลังที่จะทำความดีจะเพิ่มพูน

                6 จะมีพลังที่จะระลึกอดีตชาติได้

                7 ท้ายสุดจะได้บรรลุพุทธภูมิ

                เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระมหาโพธิสัตต์ ทวยเทพ นาค ฯลฯ จากทั่วทั้ง 10 ทิศ ได้ยินพระศากยมุนีพุทธเจ้ารับสั่งสรรเสริญอำนาจอิทธิฤทธิ์อันหาประมาณมิได้ของพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ทั้งดอกไม้และเพชรนิลจินดาที่โปรยปรายลงมาจากสวรรค์เป็นการน้อมบูชาพระศากยมุนีพุทธเจ้า และพระกษิติครรภ์โพธิสัตต์ ผู้ที่อยู่ในที่ประชุมธรรมสภานั้น พากันพนมมือด้วยความเคารพสูงสุด แล้วต่างพากันแยกย้ายคืนสู่ภพภูมิของตน

ท่านผู้อ่านพบคำผิดช่วยแก้ไขด้วย ขอบคุณครับ