- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันเสาร์, 10 พฤศจิกายน 2555 14:00
- เขียนโดย gonghoog
ปุจฉา-วิสัชนาเจ้าคุณโพธิ์แจ้ง
ท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งเมื่อได้พบศิษย์ไม่ขยันฝึกปฏิบัติหรือแสวงหาความรู้
ท่านได้สอนด้วยภาษิตที่ว่า "ซิมยิบป๋อซัว คังซิ้วห๊วย"ด้วยบุญบารมีที่ได้สร้างสมมาทำให้ได้เข้ามาสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าต้องกลับไปมือเปล่า ช่างน่าเวทนานัก
ท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งเมื่อเห็นศิษย์เบื่อหน่ายในการฝึกปฏิบัติ ด้วยว่าฝึกแล้วทำไมไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ท่านกล่าวว่า "ซี้ก่าวฮวยคุย" เมื่อเวลายังไม่ถึงดอกไม้ก็ยังไม่บาน เมื่อบารมีสะสมได้จนถึงขีดสุด ผลสำเร็จก็บังเกิด แต่ในขณะที่ยังไม่ถึงเวลาการปล่อยให้ต้นไม้เหี่ยวเฉาตายไปก่อนโดยไม่หมั่นบำรุงรักษา จะถึงเวลามีดอกได้อย่างไรเล่า
ท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งเมื่อได้พบศิษย์ไม่ขึ้นทำวัตรสวดมนต์แผ่กุศล
ท่านได้กล่าวตักเตือนว่า เราได้ใช้บุญบารมีที่ได้สะสมไปเป็นจำนวนมากในการ เกิดเป็นคน ยิ่งได้มาอยู่ในวัด ได้กินข้าว ได้ใช้ของที่ชาวบ้านเขามอบให้ด้วยด้องการแลกกับบุญกุศล เราจะเอาบุญกุศลที่ไหนไปชดใช้เขา อย่าคิดว่าที่เขาให้เรากินให้เราใช้เพราะเขาติดค้างเรา เราซิเป็นฝ่ายติดค้างเขา การสร้างสมบารมีและแผ่กุศลโดยไม่ขาดตอนเท่านั้นจึงจะชดใช้ให้ชาวบ้านผู้มีศรัทธาจิตได้
มีครั้งหนึ่งศิษย์ท่านหนึ่งได้เรียนให้ท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งทราบว่า เขาสามารถให้หวยลอตเตอรี่ได้อย่างถูกต้องและได้แสดงให้ดูโดยการเขียนใส่กระดาษไว้เมื่อเวลา หวยออกก็เปิดดู ถูกต้องจริง ท่านเจ้าคุณได้กล่าวเตือนว่าการให้หวยศิษย์ที่มาขอนั้นจะเป็นการทำลายศิษย์ผู้นั้น การถูกหวยคือ การนำบุญบารมีในอนาคตมาใช้ และจะต้องชดใช้คืนเป็นสองเท่า ผู้ถูกหวยส่วนใหญ่จะหลงระเริง ไม่สนใจในการสร้างบุญบารมีทดแทนและชดใช้ สุดท้ายก็จะตกต่ำและเป็นผลเสียในที่สุด
ทำไมพุทธวัชระยานหรือตันตระยานจึงเกี่ยวข้องกับอิทธิปาฏิหาริย์ ด้วยมุมมองด้วยทัศนะคติแห่งวัชระยานที่ว่าไม่มีสรรพสิ่งใดในสังสารวัฏนี้เป็นสิ่งดีและไม่ดี ทุกสรรพสิ่งเป็นเครื่องมือนำพาสู่พุทธภาวะได้ทั้งนั้น ดังเช่นอิทธิปาฏิหาริย์นั้น ถ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งสรรพสัตว์อื่น และเป็นไปเพื่อการทำลายอัตตาของตนอย่างสิ้นเชิง
เมื่อครั้งที่ท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งได้ไปเผยแพร่พุทธศาสนาในสิงคโปร์เป็นครั้งแรกได้มีชาวสิงคโปร์เป็นจำนวน มากประมาณ70-80คนได้มาถวายตัวเป็นศิษย์ ในครั้งนั้นท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งได้นำกระดาษมาหนึ่งปึกใหญ่และได้เขียนยันต์แจกหมู่ศิษย์ที่มาทั้งหมดท่าน เขียนภู่กันลงบนกระดาษใบแรกและใช้มือตบลงบนยันต์ใบบนที่เขียน แล้วก็แจกให้ศิษย์หลายสิบคน คนสุดท้ายที่มารับยันต์ก็เป็นยันต์ใบสุดท้าย และทุกใบชัดเจนเหมือนกันหมด ส่วนกระดาษที่เหลือไม่มีร่องรอยของหมึกติดอยู่เลย ยังความเชื่อมั่นศรัทธาแก่ชาวสิงคโปร์เข้ามาถวายตัวเป็นศิษย์อีกมากมายในครั้งต่อไป ด้วยได้ยินการบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ทำไมพุทธองค์จึงไม่สนับสนุนให้พุทธสาวกแสดงอิทธิปราฎิหาริย์
ที่พุทธองค์ท่านห้ามคือห้ามอวดอุตริ คือไม่มีอวดว่ามี1 มีแสดงเพื่อต้องการลาภสักการะ1 โดยธรรมชาติของผู้ปฏิบัติสมาธิจิตจนได้ฌานสมาบัติชั้นสูง อิทธิปราฏิหาริย์ย่อมบังเกิดขึ้นเองเป็นธรรมดา แต่อิทธิปราฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นก็เป็นดาบสองคม สำหรับผู้ปฏิบัติที่ไม่ยึดติดในอิทธินั้น ก็ยังคงปฏิบัติสู่ความเป็นพุทธะต่อไปและบรรลุผลในที่สุด เมื่อบรรลุผลแล้วอิทธิปราฏิหาริย์ก็เป็นเพียงเครื่องมือในการเผยแพร่ศาสนา ในการยังประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ เท่านั้นเอง ในทางตรงกันข้ามอิทธิปราฏิหาริย์เย้ายวนน่าลุ่มหลงอย่างมากทำให้ผู้ที่ได้มันไว้คิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ ความก้าวหน้าในการบรรลุธรรมก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง จุดมุ่งหมายในการใช้อิทธิก็จะเปลี่ยนไป ในพุทธตันตระยานความเข้มงวดในการฝึกฝนอบรมศิษย์ การอวดอุตริจึงไม่ค่อยได้เกิดขึ้น และเมื่อศิษย์ได้ข้ามพ้นความยึดติด บรรลุสู่ความเป็นพุทธแล้วเห็นสรรพสิ่งเป็นอนัตตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจึงเป็นเพียงเครื่องมือนำพาสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์เท่านั้น
คุรุโพธิ์แจ้งในความทรงจำของข้าพเจ้า เกร็ดเล็กๆน้อยที่ข้าพเจ้าได้รู้และได้ประสบเมื่อครั้งอยู่ใต้การดูแลของพระอาจารย์
** เรื่องราวอันแสดงถึงความเคารพในระเบียบวินัยที่ตนตั้งขึ้น ความถ่อมตนไม่หลงในสถานะภาพของตน เรื่องมีอยู่ว่าในสำนักสงฆ์หลับฟ้าในราวปีพ.ศ.2490 ศิษย์อาวุโสท่านหนึ่งในเจ้าคุณอาจารย์โพธิ์แจ้ง ท่านภิกษุเย็นจูในขณะนั้นท่านได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับกิจนิมนต์ของสงฆ์ในสำนักสงฆ์เพื่อไปประกอบศาสนะกิจภายนอก มีวันหนึ่งท่านเจ้าคุณไปรับปากศิษย์ฆราวาสภายนอกซึ่งใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นอย่างดีว่าจะไปประกอบศาสนะกิจให้ โดยไม่ได้ผ่านพระภิกษุเย็นจู เมื่อรับปากไปแล้วท่านจึงไปบอกให้พระภิกษุเย็นจูทราบ พระภิกษุเย็นจูท่านเป็นผู้ที่เที่ยงตรงมาก ไม่เคยบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ และท่านก็ไม่ยอมให้ใครมายุ่งเกี่ยวให้งานในหน้าที่ของท่านยุ่งเหยิง ท่านจึงประชดพระอาจารย์ไปว่า ท่านรับเองท่านก็ไปเองก็แล้วกัน(แต่เมื่อถึงเวลาท่านเย็นจูก็จัดการให้เป็นที่เรียบร้อย) ท่านเจ้าคุณอาจารย์คิดขึ้นได้ว่าใช่แล้วเราได้มอบหน้าที่ให้เขาไปแล้ว ถ้าไปก้าวก่ายเรื่องวุ่นวายก็อาจเกิดขึ้นได้ ท่านไม่ได้ทะนงเลยว่าตนเป็นใหญ่ที่สุดในสถานที่นั้น อีกทั้งยังเป็นพระอาจารย์ ผู้สามารถสั่งการให้ศิษย์กระทำได้ทุกเรื่อง หลังจากนั้นเมื่อมีผู้มานิมนต์ให้ไปประกอบศาสนกิจ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดสนิมสนมกันเพียงใด หรือว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เท่าใด ท่านก็จะให้ไปติดต่อที่พระภิกษุเย็นจู บางครั้งท่านก็พูดติดตลกว่า ท่านรับเองไม่ได้เดี๋ยวท่านเย็นจูโกรธเอา ไม่ดำเนินการให้ ท่านจะต้องไปทำเองคนเดียว
*** เรื่องราวของ นายพลตำรวจหนังเหนี่ยวกระดูกเหล็กท่านหนึ่งของกรมตำรวจไทยในสมัย2490กว่าข้าพเจ้าขอสงวนไม่บอกชื่อท่าน ท่านเป็นศิษย์ในเจ้าคุณอาจารย์ มีครั้งหนึ่งท่านได้รับคำสั่งให้ไปจัดการกับคดีเสือผาด ขุนโจรผู้เรืองวิชา หนังเหนียว ยิงฟันไม่เข้า แถบจังหวัดนครปฐม เสือผาดเป็นศิษย์ของพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองฌานสมาบัติแห่งนครปฐม เสือผาดประวัติว่าเป็นโจรโดยจำเป็น ด้วยว่ามีเรื่องกับข้าราชการมาก่อนจนอยู่ในสังคมไม่ได้ จึงต้องไปเป็นโจร แต่ก็ไม่เคยก่อคดีในจังหวัดนครปฐมเลย แต่เมื่อเป็นโจรก็ต้องถูกดำเนินการ เมื่อได้รับคำสั่งให้ดำเนินคดี ท่านนายพลก็ได้มากราบพบท่านอาจารย์โพธิ์แจ้ง เพราะทราบว่าเสือผาดไม่ใช่ผู้ที่จะจัดการให้โดยง่าย ท่านเจ้าคุณให้ของไปคุ้มครองตัวและย้ำว่าก่อนการดำเนินการ ต้องไปกราบนมัสการพระอาจารย์ของเสือผาดได้ทราบจะละเลยไม่ได้ พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงคุณพระองค์นั้นท่านได้ว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นศิษย์ของอาตมาจะให้อาตมาช่วยทำลายศิษย์ตนเองคงไม่ได้ แต่ท่านก็ดำเนินการไปตามหน้าที่ของบ้านเมือง มันเป็นเวรเป็นกรรมที่ผูกพันกันมา เรื่องการดวลกันระหว่างนายพลตำรวจกับเสือผาดเป็นที่เล่าขานกันมากในนครปฐม ทั้งคู่มีดีด้วยกันทั้งคู่ หนังเหนียวยิงกันไม่เข้าทั้งคู่ สุดท้ายเสือผาดได้แพ้ภัยตัวเองถูกจับและถูกประหารชีวิตแต่เบื้องหลังไม่มีใครทราบเลยใครเป็นศิษย์ใคร ทำไมท่านจึงเรืองวิทยาคงกระพันชาตรีแก้กล้าวิชาเช่นนั้น
*** เรื่องการพนันซึ่งท่านเจ้าคุณต่อต้านมาโดยตลอด ท่านว่าคนธรรมดาไม่มีทางร่ำรวยด้วยการพนันเป็นอันขาด เรื่องเกิดขึ้นขณะที่ท่านเจ้าคุณกลับจากทิเบตเข้าสู่ฮ่องกงระยะหนึ่งก่อนกลับเมืองไทย ลูกเจ้าสัวใหญ่ผู้เป็นศิษย์ท่านเจ้าคุณอาจารย์ที่ฮ่องกงตามแบบเสี่ยใหญ่ที่ยอมทำการงานเอาแต่เล่นการพนัน และก็มีแต่เล่นเสียผลาญเงินทองไปเป็นจำนวนมาก และก็ไม่ยอมฟังคำสั่งสอนของผู้ใดด้วยว่าเป็นลูกโทน เจ้าสัวจึงมาขอให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้ช่วย ท่านเจ้าคุณได้สอบถามอาเสี่ยว่าทำไมจึงเอาแต่เล่นการพนัน อาเสี่ยตอบว่า อยากได้เงินที่เสียไปคืน เพราะเสียศักดิ์ศรีที่เล่นแล้วมีแต่เสีย จึงต้องเล่นต่อไปเรื่อยๆ ท่านเจ้าคุณจึงบอกว่า ถ้าให้เล่นได้ในหนึ่งวันจะได้เท่าไรก็ได้ตามแต่ความใจถึงของตน แล้วต่อไปจะต้องไม่เล่นการพนันอีกจะทำได้ไหม อาเสี่ยตอบว่าทำได้ ท่านเจ้าคุณจึงเขียนยันต์ให้หนึ่งใบแล้วว่าพรุ่งนี้เช้าจนถึงค่ำให้เล่นตามความพอใจ และวันนั้นทั้งวันอาเสี่ยเล่นได้ทั้งวัน เช่นกัน และหลังจากนั้นก็ไม่เล่นการพนันอีกเลย และเรื่องทำนองนี้ได้เกิดขึ้นในขณะที่ท่านเจ้าคุณกลับมาพำนักที่สำนักสงฆ์หลับฟ้า ชาวจีนในกรุงเทพในเวลานั้นส่วนใหญ่จะเป็นชาวกวางตุ้ง ซึ่งชอบเล่นการพนันเป็นชีวิตจิตใจ และไม่ชอบพระภิกษุเป็นอันมาก นักพนันถือสาอย่างมากว่าวันใดที่ออกมาเพื่อเล่นการพนันแล้วพบคนหัวโล้นถือเป็นวันซวย วันนั้นจะไม่มีทางเล่นการพนันได้ มีแต่เสีย ทำให้ชาวจีนกวางตุ้งไม่ชอบเรียกว่าเกลียดพระภิกษุด้วยซ้ำไป แต่ก็มีชาวจีนกวางตุ้งผู้หนึ่งเข้ามาเป็นศิษย์และก็เป็นผู้ชอบเล่นการพนัน ท่านเจ้าคุณก็ได้เขียนยันต์ให้ไป และให้ไปเล่นเลยเพื่อพิสูจน์ว่าการพบพระภิกษุแล้วเล่นเสียเป็นความเชื่อที่ผิด แต่ก็ย้ำว่าการเล่นการพนันนั้นไม่ดี ให้เล่นได้เพียงวันนี้วันเดียว และวันนั้นก็เป็นวันที่ศิษย์ผู้นั้นเล่นได้จากการพนันอย่างมากมาย เรื่องนี้ได้แพร่สะพัดออกไป มีชาวกวางตุ้งเข้ามาขอเป็นศิษย์ท่านเจ้าคุณมากมาย บ้างก็มาอ้อนวอนขอยันต์เพื่อนำไปเล่นการพนันซึ่งท่านเจ้าคุณอาจารย์ไม่เคยให้ใครอีกเลย ศิษย์ชาวจีนกวางตุ้งในประเทศไทยของท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งมีจำนวนมา
*** เจ้าสัวใหญ่หย่งคิม เจ้าของธุรกิจมากมายอีกทั้งยังเป็นเจ้าของสถาบันการเงินใหญ่ในฮ่องกง ท่านเป็นศิษย์ซึ่งผูกพันกับท่านเจ้าคุณอาจารย์มาก ท่านศรัทธา เคารพและกตัญญูต่อท่านเจ้าคุณอาจารย์อย่างมาก ด้วยท่านคิดว่าชีวิตของท่านเจ้าคุณอาจารย์เป็นผู้ต่อให้ ในครั้งนั้นในวาระสงครามโลกครั้งที่2 ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้ธุดงด์อยู่ที่ฮ่องกง และขณะนั้นฮ่องกงถูกบอมส์มากท่านจึงเดินทางเข้าประเทศจีน ขณะไปถึงประเทศจีน ได้พบหย่งคิมเสี่ยซึ่งกำลังจะออกจากประเทศจีนเพราะความยากไร้ลำบากมากในการทำมาหากิน คิดจะไปตายเอาดาบหน้า เมื่อพบกันด้วยความสัมพันธ์กันทางวาสนาแต่เก่าก่อน หย่งคิมเสี่ยเข้ามากราบและเล่าให้ท่านเจ้าคุณฟังเรื่องการดำเนินชีวิตและการจะเดินทาง ท่านเจ้าคุณได้ให้คำแนะนำและให้ผ้ายันต์ไปผืนหนึ่งและให้ติดตัวไปอย่าห่างตัว เรือที่หย่งคิมเสี่ยแล่นมากลางทะเลประสพพายุเรือล่ม ขณะนั้นท่านได้ยินเสียงเรียกว่าให้ว่ายน้ำมาทางนี้ ท่านพยายามว่ายน้ำไปตามเสียง สุดท้ายท่านก็เกาะขอนไม้ได้และได้ขึ้นฝั่งมา ท่านคิดว่าเหตุการณ์ที่ท่านรอดชีวิตมาเป็นเพราะบารมีของท่านเจ้าคุณอาจารย์ที่แผ่มาให้ทางผ้ายันต์ที่ท่านมอบให้ เพราะท่านไม่เห็นผู้ที่รอดจากภัยพิบัตินั้นเลยสักคนเดียว
กล่าวถึงผ้ายันต์เท่าที่ข้าพเจ้าทราบมา ผ้ายันต์หรือกระดาษยันต์ที่ท่านเจ้าคุณได้สร้างเขียนนั้นเข็มขลังอย่างที่สุด บันดาลความปรารถนาให้ได้ทุกประการ เช่น ยันต์พระมารดาฉัตรขาว (แปะเจี่ยไก่) คุ้มครองภัยโดยเฉพาะให้เด็กติดตัว เด็กจะไม่มีอาการขวัญผวาและเพื่อการเพิ่มยศถาบรรดาศักดิ์ ยันต์พระแม่ดารา21องค์การคลาดแคล้วจากภัยพิบัติทั้งปวงโดยเฉพาะภัยธรรมชาติและการถูกเกณฑ์ทหาร ยันต์แห่งการปองดองระหว่างคู่สามีภรรยา และครอบครัวไม่สมานสามัคคี ยันต์เฮ็กบุ่งซู เป็นยันต์กำบังตน(เป็นยันต์ที่ท่านอาจารย์หวงแหนเป็นพิเศษ) มีเรื่องเล่าจากเย็นเทียมศิษย์ผู้เคยบวชกับท่านเจ้าคุณผู้หนึ่งว่า ครั้งหนึ่งได้มีเรื่องกับกลุ่มนักเลง วันหนึ่งได้นั่งกินน้ำในร้านอาหารแห่งหนึ่ง อยู่ๆกลุ่มนักเลงนั้นก็ได้เข้ามากินน้ำในร้านนั้นและนั่งอยู่ในโต๊ะข้างๆกัน แต่กลุ่มนักเลงนั้นไม่แสดงท่าว่าได้เห็นตนเองเลย ทั้งทีจริงแล้วได้รู้จักกันเป็นอย่างดี การคืนวิญญาณผู้ถูกรถชนเสียชีวิตไปแล้วหลายวันให้กลับฟื้นขึ้นมา(ไม่ทราบว่าท่านใช้ยันต์อะไร) ในยุคราวพ.ศ.2490-2510 ในหมู่พุทธศาสนิกชนได้กล่าวถึง 3 เกจิอาจารย์ผู้ทรงฌานสมาบัติแก่กล้าในเมืองหลวง ความสามารถจนเป็นที่กล่าวขานเคารพนับถือ 1หลวงพ่อโอภาสี ผู้ทรงกระสินไฟ 2 พระภิกษุญวน เบ้าอิง ท่านเชียวชาญในวิชาการจับผีโปรดวิญญาณ 3ท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้ง ยันต์ทุกใบที่ออกจากมือท่านช่วยดับสารพัดทุกข์ได้ตามที่ผู้ขอต้องการ อันที่จริงแล้วมิใช่มีเพียงยันต์ของท่านเท่านั้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พระเครื่องวัตถุมงคลที่ท่านได้ปลุกเสกไว้ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน เมื่อต้นปี พ.ศ.2515 ขณะตรุษจีนปีนั้น ทางวัดได้จัดงานฉลองวัด 10 ปี จัดงานใหญ่ 7วัน 7คืน บริเวณลานหน้าวิหารเทพพิทักษ์สี่ทิศ ได้ตั้งเต๊นซ์อำนวยการไว้ ในวันหนึ่งข้าพเจ้าได้รับหน้าที่ให้ไปนั่งประจำที่เต็นซ์อำนวยการนี้ มีนายทหารหลายนายเข้ามายื่นพระผงให้ข้าพเจ้าดูและถามว่าจะขอเช่าพระรุ่นนี้ จะขอเช่าได้ที่ใด (เป็นพระผงสัพพัญญู รุ่นสร้างบรรจุในฐานพระประฐาน) ข้าพเจ้าถามกลับว่าทำไมจึงต้องการรุ่นนี้ นายทหารท่านนั้นได้ตอบว่าเขาเป็นทหารอยู่ตราด ในขณะที่ลาดตระเวน ได้เกิดการสู้รบกับกองกำลัง ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เพื่อนนายทหารในหมวดของเขาถูกยิงด้วยปืนเอ็ม16จนกระเด็นหงายหลังไป แต่แล้วเขากับลุกขึ้นมายิงสู้ต่อโดยที่ไปอันตรายใดๆเลย ต่อมาจึงทราบว่าในตัวของนายทหารผู้นั้นมีพระผงสัพพัญญูติดตัวอยู่ เมื่อได้เวลาลาพักราชการจึงร่วมกันเดินทางมาเพื่อขอพระรุ่นนี้ไว้คุ้มครองตัวบ้าง
*** การพบกันระหว่างท่านเจ้าคุณกับเจ้าสัวใหญ่ในเยาวราช ยุคหลังสงครามโลก มีครั้งหนึ่งท่านเจ้าคุณได้โดยสารรถไฟไปภาคใต้ เจ้าสัวก็ได้เดินทางไปในตู้รถไฟเดียวกันนั้นด้วย ขณะนั้นเจ้าสัวก็นับเนื่องเป็นเจ้าสัวในประเทศไทยแล้ว ท่านไม่รู้จักท่านเจ้าคุณและก็ไม่สนใจด้วย โดยคิดว่าท่านเจ้าคุณเป็นพระสงฆ์จีนธรรมดารูปหนึ่ง ท่านเจ้าคุณและเจ้าสัวได้นั่งเก้าอี้ตรงข้ามกัน มีช่วงหนึ่งท่านเจ้าคุณได้หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านและอ่านหนังสือพิมพ์ในท่าทางที่ไม่สบายตัว เจ้าสัวได้บอกต่อท่านเจ้าคุณว่าท่านทำไมไม่อ่านหนังสือให้สบายๆ ท่านเจ้าคุณก็ตอบว่าเห็นท่านต้องการดูหนังสือพิมพ์ด้วยก็เลยถือให้ท่านได้ดูอย่างสะดวก เจ้าสัวจึงคิดว่าพระรูปนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ เรื่องในรถไฟก็จบลง หลังจากนั้นมามีญาติเจ้าสัวป่วยหนักหมอในขณะนั้นๆไม่สามารถรักษาให้หายได้ คนรู้จักก็ได้แนะนำให้ท่านเจ้าสัวไปขอความช่วยเหลือจากท่านเจ้าคุณ ซึ่งเจ้าสัวก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อถือเท่าไร แต่ก็มา เมื่อพบแล้วจึงได้รู้ว่าท่านได้พบกันแล้วในรถไฟความสนิทสนมก็มีมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เชื่อถือในความสามารถ ในขณะนั้นเจ้าสัวเคารพนับถือหลวงพ่อโอภาสีอยู่ ท่านจึงไปขอให้หลวงพ่อโอภาสีช่วยด้วย เมื่อไปถึงหลวงพ่อโอภาสีก็บอกต่อเจ้าสัวว่าไม่ต้องห่วงทุกอย่างเป็นปกติเรียบร้อยแต่ไม่ใช่ท่านช่วย หลวงจีนที่ท่านไปขอให้ช่วยท่านจัดการให้เรียบร้อยแล้ว นี่เองเป็นจุดศรัทธาที่เกิดขึ้นและเป็นศรัทธาอันมั่นคงต่อมา
เจ้าสัวท่านมีที่ดินอยู่มากมายทั่วกรุงเทพ และมีที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ติดกับวัดหลวงมีชื่อเสียงมากวัดหนึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนพ.ศ.2500 เจ้าอาวาสวัดในขณะนั้นรู้จักคุ้นเคยกันท่านเจ้าสัวเป็นอย่างดี เมื่อทางวัดมีงานก็ขอเปิดรั้วสังกะสีเพื่อขอใช้สถานที่ มีการขอใช้งานในลักษณะนี้เป็นประจำจนในที่สุดเพื่อความสะดวกก็เลยไม่ได้ปิดรั้ว ต่อมาเมื่อเจ้าอาวาสรูปเดิมท่านมรณะภาพไป เจ้าอาวาสรูปใหม่ขึ้นมา ก็ไม่รู้จักท่านเจ้าสัว และไม่รู้ว่าที่ดินนั้นเป็นที่ของท่านเจ้าสัว เข้าใจว่าเป็นที่ดินของวัดจึงใช้ประโยชน์มาเรื่อย และเมื่อท่านเจ้าอาวาสได้พบกับเจ้าสัว ท่านเจ้าอาวาสก็ไม่ได้ให้เกียรติแก่เจ้าสัวเท่าไร เพราะไม่รู้จักและไม่รู้ว่ามีความผูกพันเรื่องที่ดินกันอยู่ ท่านเจ้าสัวจึงโกรธและฟ้องร้องว่าทางวัดบุกรุกที่ของตน เมื่อทางวัดถูกฟ้องและรู้ความจริงท่านเจ้าอาวาสจึงได้นำเรื่องไปกราบพระบาทปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้น สมเด็จสังฆราชท่านก็ว่าไม่มีใครที่จะพูดกับเจ้าสัวได้ มีเพียงท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งเพียงผู้เดียวที่ท่านเจ้าสัวยอมรับฟัง สมเด็จพระสังฆราชจึงได้นำเรื่องมาขอให้ท่านเจ้าคุณช่วยพูดให้ท่านเจ้าสัวถอนฟ้อง
ท่านเจ้าคุณก็รับปากจะดำเนินการให้ และขอให้สมเด็จท่านทำเรื่องของเครื่องราชให้ท่านเจ้าสัว สมเด็จพระสังฆราชท่านก็รับปากว่าจะดำเนินการให้ หลังจากนั้นท่านเจ้าคุณได้ไปพบท่านเจ้าสัว ท่านได้กล่าวกับเจ้าสัวว่า ถึงแม้ว่าในคดีท่านชนะแน่นนอน แต่ในด้านชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านก็จะมัวหมองลง การมีเรื่องฟ้องร้องกับวัดในประเทศไทยซึ่งในขณะนั้นถือเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์รวมใจของคนทั้งประเทศไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของตน เจ้าสัวก็ถามว่าจะให้ทำอย่างไร ท่านเจ้าคุณก็ว่าท่านก็ถือโอกาสนี้เพิ่มพูนชื่อเสียงเกียรติคุณแก่ตนเองดีกว่า ทรัพย์สินเงินทองที่ดินท่านก็มีมากมาย ท่านก็มอบที่ดินในให้แก่วัดเสียเลย แล้วอาตมาจะไปขอให้สมเด็จพระสังฆราชนำท่านเข้าเฝ้าเพื่อรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ท่านเจ้าสัวก็ยินดีและปฏิบัติตาม ท่านเจ้าคุณได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่าและได้บอกต่อว่า การเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยเรื่องที่ทำให้คนหนึ่งต้องเสียผลประโยชน์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาทดแทนสิ่งซึ่งเขาเสียไป การหักหาญโดยใช้ความเชื่อถือศรัทธา ความเคารพแล้วกำหนดในเขาทำตาม แม้ทำได้ แต่สุดท้ายก็จะเสียเขาไป
ท่านเจ้าสัวเคารพศรัทธาในท่านเจ้าคุณเสมอต้นเสมอปลายมามิได้ขาด เจ้าสัวท่านเชื่อฟังคำแนะนำท่านเจ้าคุณแม้แต่เรื่องในครอบครัว เจ้าสัวมีบุตรชายคนหนึ่ง ซึ่งใฝ่ฝันและหลงใหลในการดำเนินการทางการเมืองเป็นชีวิตจิตใจ แต่ท่านเจ้าสัวมิยอมเกิดทะเลาะกันรุนแรงจนจะตัดขาดกัน บุตรเจ้าสัวได้ขอให้ท่านเจ้าคุณช่วยว่ากล่าวต่อบิดาด้วย ท่านเจ้าคุณได้ไปพบเจ้าสัว และกล่าวต่อเจ้าสัวเรื่องที่บุตรของท่านต้องการดำเนินการทางการเมือง ท่านว่า แม้พ่อค้าทั่วไปจะไม่ชอบการเมืองและไม่อยากให้ลูกหลานเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ที่จริงการเมืองก็ไม่เสียหายอะไร อีกทั้งอนาคตบุตรท่านจะเป็นใหญ่เป็นโต ในที่สุดท่านเจ้าสัวก็กล่าวกับบุตรว่า นี่เป็นพระอาจารย์มาขอจึงต้องให้ หากแม้มิใช่แล้วอย่าหวังว่าจะได้ดังที่ต้องการ วันหน้าจงอย่าได้ลืมคุณของท่านอาจารย์เป็นอันขาด ในกาลต่อมาบุตรเจ้าสัวก็ได้เข้าสู่การเมืองและประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่งในทางการเมือง และท่านเองก็เคารพศรัทธาท่านเจ้าคุณตามบิดา ดูแลอุปฐากท่านเจ้าคุณตามควรแก่เวลาที่มี จนท่านเจ้าคุณได้ละสังขารไป
*** เรื่องท่านเจ้าคุณโพธิ์แจ้งถูกระเบิดที่วางไว้ในรถเมื่อปี2505วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ตอนเช้ามืดเวลา4.00น หลังจากออกจากการประกอบพิธีปลุกเศกเบิกพระเนตรพระโพธิสัตว์กวนอินที่ศาลกวนอิมตึ้ง ตรงข้ามมูลนิธิปอเต็กตึ้ง ถนนพลับพลาไชย ขณะนั้นท่านเจ้าคุณอายุ 60ปี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส เหตุที่ท่านถูกวางระเบิดเพราะกลุ่มมาเฟียในเยาวราชในขณะนั้นต้องการรีดไถเงินจากท่าน 200000บาท ท่านไม่ให้ ท่านว่า ท่านเป็นพระสงฆ์จะมีเงินมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร กลุ่มมาเฟียไม่พอใจจึงลอบยัดระเบิดไว้ที่ใต้ท้าวแขนข้างที่นั่งของท่านในรถโอเปิล หมายเลข ทะเบียน กทป 3440 โดยมีนายเย็นดี โพธิ์ตระการเป็นคนขับรถ ในขณะที่ท่านเข้าไปประกอบพิธีศาสนกิจ เมื่อเสร็จพิธีคนขับรถก็นำรถมารอรับท่าน เมื่อท่านขึ้นไปนั่งทับระเบิดก็ทำงาน หลังคารถเบาะเก้าอี้ในรถยับเยิน แต่ท่านก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย อีกทั้งคนขับรถก็มิได้รับบาดเจ็บอันใดเช่นกัน(มีบันทึกอยู่ในหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ พิมพ์ไทย เสียงอ่างทอง ในเวลานั้น) เพราะเหตุใด ท่านตอบว่าเมื่อขณะระเบิดเกิดขึ้น วัชระโพธิสัตว์ธรรมบาลได้แผ่ร่างออกคุ้มครองทำให้ ท่านไม่ได้รับอันตรายพร้อมคนขับรถด้วย ในพุทธตันตระยานเมื่อได้รับการยอมรับและได้รับอภิเษกจากวัชราจารย์แล้ว จะมีโพธิสัตว์ธรรมบาลคอยให้ความคุ้มครองช่วยเหลือ เพื่อให้บรรลุสู่ความหลุดพ้น ถ้าเราหมั่นฝึกฝนปฏิบัติไม่หยุด ไม่ขาดตอน พระโพธิสัตว์ท่านก็จะอยู่คอยช่วยเหลือเราตลอดไป
*** มีเรื่องพูดกันแพร่หลายด้วยความเข้าใจผิดในยุคก่อนว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์รับเฉพาะแขกที่เป็นผู้ร่ำรวยหรือเป็นเจ้าสัวใหญ่ๆเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าสัวหลายท่านมีฐานะขึ้นได้ด้วยการทำตามคำแนะนำของท่านเจ้าคุณอาจารย์ บางท่านจากพ่อค้าธรรมดาขึ้นเป็นเจ้าสัว บางท่านจากลูกจ้างขึ้นเป็นเจ้าสัว และโดยธรรมชาติของมนุษย์อย่างนี้คือผู้ที่ใฝ่สูงและมีแนวโน้มว่าจะรุ่งเรืองจะเป็นผู้ที่กล้าที่จะเข้าไปเสาะแสวงหาหนทางหรือผู้ที่จะทำให้ตนยกระดับขึ้นได้ ส่วนผู้คนธรรมดาโดยเฉพาะผู้ที่ยากไร้จะยึดถือว่าความยากไร้ของตนเป็นปมด้อย ทำให้ตนเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ได้ ไม่กล้าเข้าไปรับคำสั่งสอนหรือขอปรึกษาขอความช่วยเหลือ และคิดเองว่าการเข้าไปจะต้องมีค่าใช้จ่ายมากมายตนไม่สามารถให้ได้ โดยสภาพที่แท้จริงแล้วท่านเจ้าคุณไม่เคยช่วยเหลือผู้คนด้วยการเลือกสรรผู้คนจากฐานะทางทรัพย์สินเลย ท่านช่วยทุกคนที่เข้าไปร้องขอ สั่งสอนคนทุกระดับ ท่านพูดอยู่เสมอว่า “เศรษฐีมีเงินเกิดขึ้นจากคนยากไร้ที่มีจิตสำนึก ส่วนคนยากไร้ก็เกิดจากเศรษฐีที่ไร้จิตสำนึก” ท่านตั้งหลักการในการต้อนรับแขกไว้ว่า บุคคลธรรมดา ชาวบ้านชาวช่องมีเรื่องเดือดร้อนมาจะต้องรีบให้เขาได้รับการบำบัดก่อน เพราะเขาต้องรีบกลับไปทำมาหากิน และอีกอย่าง เรื่องเดือดร้อนของเขาเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ไม่ยาก (เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาแต่เป็นเรื่องเล็กสำหรับเรา) ส่วนเจ้าสัวและผู้หลักผู้ใหญ่เมื่อมีเรื่องมาปรึกษาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องใหญ่และต้องใช้เวลานาน
*** เจ้าสัวใหญ่ท่านหนึ่งที่ติดอันดับหนึ่งในช่วงต้น พ.ศ.2500 ขณะที่ได้พบท่านเจ้าคุณอาจารย์ท่านเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาคนหนึ่ง ท่านเจ้าคุณอาจารย์แนะนำให้ท่านทำธุรกิจอีกทั้งสอนการดูและดำเนินการธุรกิจที่ดิน จนการค้าต่างๆเติบใหญ่เป็นเจ้าสัวใหญ่แห่งเมืองไทย ครอบครัวของท่านเจ้าสัวอยู่ใกล้ๆกับวัดของท่านเจ้าคุณ มีวันหนึ่งมารดาของเจ้าสัวซึ่งมีอายุเกือบเก้าสิบแล้วป่วยขอเข้าพบท่านเจ้าคุณและขอร้องท่านเจ้าคุณว่าก่อนตายของให้ได้พบเห็นเจ้าแม่กวนอิมสักครั้ง ท่านเจ้าคุณก็ว่าขอให้ท่านกินเจสามเดือนแล้วท่านจะได้พบ สุดท้ายท่านก็ได้เห็นร่างเจ้าแม่กวนอิมเดินออกมาจากแท่นบูชาที่บ้าน หลังจากนั้นอาการป่วยก็หายและมีอายุยืนยาวอยู่เกือบ100ปี
*** ครอบครัวหนึ่งบ้านสวนหลวงใกล้สำนักสงฆ์หลับฟ้า และเป็นลูกศิษย์ในเจ้าคุณอาจารย์ ครอบครัวนี้มีลูกคนเดียวเป็นผู้ชาย วันหนึ่งลูกชายไปประสบอุบัติเหตุในต่างจังหวัด และนอนอยู่ในโรงพยาบาลโดยไม่รู้สึกตัวอีกเลย 1 สัปดาห์ คุณแม่เขาได้ขอให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์ช่วย เจ้าคุณอาจารย์ได้เขียนยันต์ให้ไปหนึ่งแผ่น ให้ไปเผาที่บริเวณที่เกิดเหตุและให้เรียกชื่อลูกชายมาเรื่อยจนถึงโรงพยาบาล เมื่อมาถึงโรงพยาบาล 2-3 ชม.ลูกชายที่ไม่ได้สติก็ฟื้นขึ้นมาเป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น
*** หนึ่งในหลายๆเรื่องที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้ช่วยเหลือศิษย์ โดยไม่คำนึงถึงการต้องเปลี่ยนแปลงชะตาที่กำหนดไว้ จนท่านต้องทนทุกข์ด้วยสภาพของการอาพาธในบั้นท้ายของชีวิต เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันหนึ่งในขณะที่อยู่ในแวดล้อมของหมู่ศิษย์ท่านก็เกิดนิมิตขึ้น และท่านได้ได้บอกกล่าวต่อ หมู่ศิษย์ว่า ในช่วงท้ายของชีวิตท่านจะมีเหตุให้ท่านต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอัมพาต พวกท่านต้องมีสติอย่าได้ตื่นเต้นตกใจ มันเป็นผลที่มาแต่เหตุ แล้วท่านก็เล่าเรื่องศิษย์ผู้หนึ่งของได้นำวันเดือนปีเกิดของลูกมาให้ดู และว่ามีคนทักว่าเขาจะต้องเสียชีวิต แม้เขาต้องเสียชีวิตจริงก็ของอ้อนวอนท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้ช่วยเหลือด้วย ท่านเจ้าคุณได้ดูก็รู้ว่าลูกชายของเขาได้ถึงกาลแน่นอนแล้ว แต่ด้วยทนเสียงอ้อนวอนไม่ได้จึงได้ตอบไปว่า อาตมาประกันว่าลูกชายต้องไม่ตาย เมื่อรับปากไปแล้วท่านจึงต้องช่วยเหลือ สุดท้ายลูกชายของศิษย์ผู้นั้นก็ไม่ต้องถึงกาล
*** พ่อค้าใหญ่ท่านหนึ่งแห่งย่านศาลาเฉลิมกรุงในยุค2490 ทุกเย็นท่านต้องไปสำนักสงฆ์หลับฟ้า เพื่อฟังคำสั่งสอนจากท่านเจ้าคุณอาจารย์ถือเป็นศิษย์ก้นกุฎิผู้หนึ่งในขณะนั้น ขณะนั้นท่านอายุได้สามสิบกว่าแต่งงานแล้วหลายปีแต่ไม่มีบุตร ทุกคืนท่านจะอ้อนวอนขอให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์ทำพิธีประทานบุตรให้ ท่านขออยู่นานเป็นปี มีอยู่คืนหนึ่งอยู่ๆไฟฟ้าที่สำนักสงฆ์ดับลง ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้พูดกันพ่อเฮียหมาว่า โอกาสมาถึงแล้วถ้าสามารถไปหาตะเกียงน้ำมันมาให้ได้2ดวง พ่อค้าใหญ่ท่านนั้นจึงรีบไปหาซื้อมาแล้วนำมาให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์ ท่านเจ้าคุณได้บอกว่ามีแต่ตะเกียงไม่มีน้ำมัน ต่อไปเด็กจะผอมๆจะมาต่อว่าอาจารย์ไม่ได้ พร้อมทั้งตั้งชื่อให้ (ซึ่งเป็นชื่อปีในอีก2ปีต่อมา ซึ่งพ่อพ่อค้าใหญ่ท่านนึกไม่ถึง) ผ่านไประยะเวลาหนึ่งพ่อค้าใหญ่ได้ไปถามอาจารย์ว่ายังไม่เห็นมีลูกเลย ท่านอาจารย์จึงบอกว่าที่ให้ชื่อไปนั้นบอกใบ้ว่าจะได้ในปีนั้น และเมื่อถึงปีแกซิ้งศิษย์ท่านนั้นก็ได้ลูกในปีนั้นตรงตามที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์กำหนดทุกประการ และเด็กก็ผอมๆตามที่ว่า ท่านเจ้าคุณได้นำวิญญาณ ไปเกิดด้วยลักษณะเช่นนี้ แต่วิธีการต่างออกไป รวม 4 ครั้ง ทุกคนที่เกิดมาก็ยอมรับ รู้จักกัน สุดท้ายได้รวมกลุ่มกันและได้เพียงสามคน ตามหาอีกหนึ่งคนไม่เจอ
*** ความกตัญญูกตเวทีของท่านเจ้าคุณ เมื่อครั้งที่ท่านเจ้าคุณเดินทางเข้ามาบรรพชาที่วัดถ้ำประทุน มีพระอาจารย์ท้งกังเป็นอุปฌาชย์บรรพชาให้ ต่อมาพระอาจารย์ท้งกังได้ลาสิกขาบท บ้านของท่านอยู่ที่ดำเนินสะดวก ท่านจะไปเยี่ยมเยียมถามทุกข์สุขอยู่เป็นประจำหรือทุกครั้งที่ท่านเจ้าคุณมีของกินของใช้ดีๆที่มีคนมาถวาย ท่านมักจะนำไปให้พระอาจารย์ของท่านที่บ้านดำเนินสะดวกเป็นประจำ ท่านได้ปฏิบัติกิจเช่นนี้เป็นประจำสม่ำเสมอมิได้ขาด
*** เรื่องส่งยาไปให้ศิษย์ชาวสิงคโปร์ประมาณปี2516 มีอยู่วันหนึ่งจู่ๆท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้เรียกศิษย์รับใช้ใกล้ชิดทั้งเป็นผู้ขับรถประจำตัวชื่อเหี่ยงให้นำยาซึ่งท่านเจ้าคุณได้ปรุงเองให้นำบินไปสิงคโปร์ในทันที มีศิษย์อาวุโสท่านหนึ่งในสิงคโปร์ป่วยหนัก สอบถามแล้วว่าไม่มีข่าวคราวใดมาจากสิงคโปร์เลย ท่านเจ้าคุณอาจารย์ รู้เองและดำเนินการเอง
*** ครั้งสุดท้ายที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ไปเผยแพร่ธรรมที่สิงคโปร์ ขณะนั้นท่านยังแข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกประการ อยู่ๆท่านก็บอกกับหมู่ศิษย์ทั้งหลายที่มาร่วมกันฟังธรรมว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ท่านจะมาสิงคโปร์ ผู้ใดมีสิ่งใดจะขอหรือจะร่ำเรียนขอให้บอก คำบอกดังกล่าวทำให้หมู่ศิษย์ทั้งหมดช๊อค ไม่มีใครผู้ขอสิ่งใด ท่านเจ้าคุณอาจารย์จึงพูดขึ้นว่าพวกเจ้าคิดว่าเราไม่สามารถทำให้ได้หรือ เราเป็นคุรุนาครชุนโพธิสัตว์มาเกิดมีอะไรที่ทำไม่ได้ ในปีต่อมาสุขภาพของท่านเจ้าคุณอาจารย์ก็ไม่ค่อยสมบูรณ์ และก็ไม่ได้ไปสิงคโปร์อีกเลย จนมรณภาพ
*** บุคลิคภาพอันน่าประทับใจ มีเรื่องราวเล็กๆน้อยๆเกี่ยวข้องกับผู้เขียน เมื่อครั้งท่านเจ้าคุณอาจารย์กลับจากสิงคโปร์ครั้งแรกได้นำเรื่องราวมาเล่าให้หมู่ศิษย์ได้ฟัง มีเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับร้านอาหารเจในรัฐอีโป ประเทศมาเลเซีย ขณะเดินทางกลับจากสิงคโปร์โดยทางรถยนต์ ท่านเจ้าคุณและคณะได้เข้าไปฉันท์อาหารกลางวันที่ร้านนั้น ท่านได้กล่าวว่า วันหน้าใครเดินทางผ่านไปและถึงเวลาฉันท์อาหารให้เตรียมตัวให้ดีร้านอาหารนี้คิดค่าอาหารแพงมาก ในปีต่อมาผู้เขียนซึ่งขณะนั้นอยู่ในสมณะเพศ ได้เดินทางเพื่อไปเยี่ยมเยียนท่านเจ้าคุณอาจารย์ที่สิงคโปร์(พูดให้น่าฟังที่จริงคือต้องการไปเที่ยว) และด้วยความหลงลืม คณะที่ไปได้หลงเข้าไปในร้านอาหารนั้นเพื่อฉันท์อาหารกลางวัน(ที่จริงแล้วมีร้านอาหารเจร้านเดียวในอีโปในขณะนั้น)เมื่อฉันท์อาหารเสร็จก็เรียกเจ้าของร้านมาเก็บเงิน เจ้าของร้านได้ถามว่า พวกท่านเป็นพระสงฆ์ที่มาจากประเทศไทยศิษย์ของท่านอาจารย์โพธิ์แจ้งใช่หรือไม่ พวกเราก็ตอบว่าใช่ และก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ท่านอาจารย์เล่าให้ฟัง เมื่อปีที่แล้วท่านอาจารย์ยังได้มาฉันท์อาหารที่ร้านท่านเลย เจ้าของร้านได้บอกว่า เมื่อเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์โพธิ์แจ้งค่าอาหารก็จะไม่เก็บ เมื่อปีที่แล้วได้พูดคุยกับท่านอาจารย์แล้วเลื่อมใสศรัทธามาก ขอถวายอาหารทั้งหมดให้