- รายละเอียด
- เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์, 23 พฤศจิกายน 2555 11:02
- เขียนโดย Astro Neemo
พิธีจั้งแช-โหลยเต้า
2 กิจกรรม พิธีจั้งแช-โหลยเต้า เดือน มีนาคม 2556
จั้งแช-โหลยเต้าเป็นพิธีที่จัดในวันคล้ายวันเกิด หรือในเทศกาลปีใหม่ หรือตรุษจีน เป็นพิธีบูชาดวงดาวแห่งอายุ เพื่อความมีอายุวัฒนะ สุขภาพดี โดยกลุ่มก่งฮุกสัมพันธ์-มหาวัชรยาน จะจัดในเดือนแห่งเทศกาลตรุษจีน ประจำทุกปี ตามกำหนดการในตารางกิจกรรมกลุ่ม
จั้งแช-โหลยเต้า คือพิธีบูชาดาวนพเคราะห์ทั้งเก้า เพื่อขอพรให้มีอายุมั่นขวัญยืน พิธีนี้เกี่ยวพันกับพิธีกินเจในเดือน9ของจีน เพราะดาวนพเคราะห์ทั้งเก้าเป็นเทพพุทธที่มาปฏิบัติหน้าที่โปรดสรรพสัตว์ให้ มีสุขภาพและอายุมั่นคงแข็งแรง เพื่อจะได้ประกอบพุทธกิจเพื่อการบรรลุธรรมได้โดยไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยและ อายุไม่เพียงพอมาเป็นอุปสรรคในการสำเร็จมรรคผล
พิธีจั้งแช-โหลยเต้าเป็นพิธีสักการบูชา พระพุทธเจ้า 7 พระองค์ กับ พระโพธิสัตว์ 2 พระองค์ ซึ่งทั้ง 9 พระองค์ ก็เป็นองค์ประธานในเทศกาลกินเจ และพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ดังมีประวัติการกินเจเดือน9 ดังนี้
พิธีการกินเจเดือนเก้าตามปฏิทินจีนทุกๆปี มีกำหนด 9 วันนั้น ลัทธิมหายานในพระพุทธศาสนามีอรรถาธิบายว่า เป็นการประกอบพิธีกรรมสักการบูชา พระพุทธเจ้า 7 พระองค์ กับพระโพธิสัตว์ 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน กิวอ๊วงหรือเก้าอ๊วง อีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวพระเคราะห์ทั้ง 9 อันมี พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวพระอังคาร ดาวพระพุทธ ดาวพระพฤหัศบดี ดาวพระศุกร์ ดาวพระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ,
พิธีเก้าอ๊วงเจนี้ กำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มตั้งแต่ วันขึ้น 1 ค่ำถึง 9 ค่ำ เดือน 9 (ปฏิทินจีน) รวม 9 วัน 9 คืน
พิธีกรรมสักการบูชา พระพุทธเจ้า 7 พระองค์กันพระโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ นี้ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ต่างสละกิจโลกีย์วัตร์และบำเพ็ญศีลสมาทาน กินเจ(มังสะวิรัติ) บริโภคแต่อาหารผักและผลไม้ งดเว้นไม่กระทำกิจใดๆอันนำมาถึงความเบียดเบียนเดือนร้อนให้แก่สัตว์ทั้งปวง กล่าวคือ
1 ไม่เอาชีวิตของสัตว์มาเติมต่อบำรุงชีวิตของเรา
2.ไม่เอาเลือดของสัตว์มาเป็นเลือดของเรา
3.ไม่เอาเนื้อของสัตว์มาเป็นเนื้อของเรา
ซักฟอกมลทินออกจากร่างกาย, วาจา,และใจ สวมเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ไปนมัสการน้อมบูชาแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ กับพระโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ ทั้งจัดหาเครื่อง
อุปโภค บริโภคน้อมถวายเป็นเครื่องสักการะ
เบื้องต้นแห่งพิธีกรรมเก้าอ๊วงเจมีอรรถกล่าวไว้ดังนี้
ในกาลสมัยหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาทรงประทับอยู่ ณ ศิวาลัยรัตนสถาน มีบรรดาพระโพธิสัตว์, ท้าวมหาพรหม, ท้าวสักกะ, เทพยเจ้า , ยักษ์, นาค, คนธรรพ์, กินนร ฯลฯ ได้พากันมาเฝ้าสมเด็จพระพุทธองค์ ในขณะนั้นมีพระมัญชุศรี โพธิสัตว์ทูลถามต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อันพระเทพสัตตเคราะห์ทั้ง 7 พระองค์ ได้มีกุศลสะสมอย่างไร? กับมีปัจจัยเหตุมาอย่างไร? จึงได้เสวยทิพยผลรุ่งเรืองเพียบพร้อมไปด้วยยศ และอำนาจในเทวภพนี้”
สมเด็ยพระบรมศาสดาจึงมีพระพุทธดำรัสตอบว่า “ดูกร มัญชุศรี อันดาวเทพสัตตเคราะห์ทั้ง 7 นั้น แท้จริงเป็นพระอวตารภาพแห่งอดีตพระพุทธ 7 พระองค์ ทรงแบ่งภาคมาแสดงให้ปรากฏ กับพระโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ ก็แบ่งภาคมาเป็นดาวราหูและดาวพระเกตุ รวมเป็นดาวพระเคราะห์ทั้ง 9 ฉะนั้นจึงสมบูรณ์ด้วยอลังการแห่งยศ และอำนาจ อันไม่มีปริมาณเห็นปานฉะนี้”
ในพระสูตร “ปั๊กเต้าโก๋วฮุดเซียวไจเอียนซิ่วเมียวเกง” กล่าวพระนามพระพุทธเจ้า 7 พระองค์กับพระโพธิสัคตว์ 2 พระองค์ คือ
1 พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ
2 พระศรีรัตนะโลกประภาโฆษอิศวรพุทธะ
3 พระเวปุลลรัตนะโลกสุวรรณสิทธิพุทธะ
4 พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ
5 พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ
6 พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ
7 พระเวปุลลจันทรโลกไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ
8 พระศรีสุขโลกปัทมครรภอลังการโพธิสัตว์
9 พระศรีเวปุลลสังสารโลกสุขะอิศวรโพธิสัตว์
พระพุทธเจ้าทั้ง 7 กับพระโพธิสัตว์ทั้ง 2 ทรงตั้งพระปริธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งภาคมาเป็น เทพยเจ้า 9 พระองค์ ดังกัน คือ
1 ไต้ขวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไท้แชกุน
2 ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งง้วนแชกุน
3 ไต้กวนจิงหยิ้งลกชุ๊งเจงแชกุน
4 ไต้ฮั้งเฮี่ยงเม้งบุ่งเคียกนิวแชกุน
5 ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยมเจงกังแชกุน
6 ไต้โพ้วปั้กเก๊กบู๊เคียกกี่แชกุน
7 ไต้เพียวเทียนกวนพั่วกุงกวนแชกุน
8 ตั่งเม้งงั่วหูแชกุน
9 ฮุ้ยกวงไลเพี๊ยกแชกุน
และเทพยเจ้าทั้ง 9 พระองค์นี้ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์ บริหาร ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และธาตุทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ จึงทรงแบ่งภาคต่อจากนี้อีกวาระหนึ่งเป็น ดาวนพเคราะห์ ดังต่อไปนี้
1 ดาวไท้เอี๊ยงแช คือ พระอาทิตย์
2 ดาวไท้อิมแช คือ พระจันทร์
3 ดาวฮวยแช คือ ดาวพระอังคาร
4 ดาวจุ๊ยแช คือดาวพระพุธ
5 ดาวบั๊กแช คือ ดาวพฤหัศบดี
6 ดาวกิมแช คือดาวพระศุกร์
7 ดาวโท้วแช คือ ดาวพระเสาร์
8 ดาวล่อเกาแช คือพระราหู
9 ดาวโกยโต้วแช คือ พระเกตุ
ในตำรา โหราศาสตร์จีน วางหลักดาวนพเคราะห์เป็นหมวดดังนี้
1 ดาวทวิมหาเคราะห์ คือ พระอาทิตย์กับพระจันทร์
2 ดาวทวิกำลังบ คือ พระราหูกันพระเกตุ
3 ดาวปัญจลักขระ คือ พระอังคาร, ดาวพระพุทธ, ดาวพระพฤหัศบดี , ดาวศุกร์ และดาวพระเสาร์
เทพเจ้าทั้งเก้าพระองค์ ทรงเครื่องทรงอย่างแบบพระมหากษัตริย์ ประชาชนจึงถวายพระนามว่า เก้าอ๊วง หรือ กิวอ๊วง แปลว่า นพราชา
กำหนดเวลาทุกๆปี ของขึ้น 1 ค่ำ ถึงขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามจันทรคติ (ฝ่ายจีน) เทพยเจ้าประจำดาวนพเคราะห์ ต่างองค์ทรงผลัดเปลี่ยนกันลงมาตรวจโลกทั้งกลางวันและกลางคืน บุคคลใดมีความประพฤติตั้งอยู่ใน กุศลกรรมวิถี ก็จะทรงประทานพรอำนวยความสมบูรณ์พูนสุขให้ หากบุคคลใดมีความประพฤติในทาง อกุศลกรรมวิถี ก็จะทรงลงโทษตามโทษานุโทษ
เทพยเจ้าแห่งดาวนพเคราะห์ ทรงพระคุณธรรมแก่โลกเป็นอเนกประการเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ธาตุดิน, ธาตุน้ำ, ธาตุไฟ, ธาตุลม และ ธาตุทอง ที่พระองค์ทรงประทานไว้ให้แต่ละอย่างล้วนเป็นของจำเป็นประจำในสรรพสังขาร อันไม่มีจำกัดรวมทั้งมนุษย์, สัตว์ทุกชนิด, ต้นไม้ ฯลฯ
มนุษย์ ถ้าหากไม่มีธาตุลม ก็ถึงแก่ความตาย
มัจฉาชาติ ถ้าหากไร้ธาตุน้ำเป็นที่อาศัย ก็ต้องตาย
พฤกษาชาติ ถ้าหากขาดธาตุดิน ก็อับเฉากิ่งใบแห้งเหี่ยวตาย
สัตว์โลก ถ้าหากสูญสิ้นธาตุไฟในร่างกาย ก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้
และเศรษฐกิจ การค้าอันเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งของมนุษย์ทั่วโลกในสมัยปัจจุบัน ถ้าหากขาดธาตุทองก็ ไม่สามารถจะดำเนินกิจการลุล่วงไปได้
ปวงสัตว์โลกไม่เลือกว่าจะมาจาก
อุปปัตติกำเนิด (เกิดขึ้นเอง)
ชลาพุชะกำเนิด (เกิดจากน้ำ)
อัณฑชะกำเนิด(เกิดจากฟองไข่ แล้วฟองไข่เกิดเป็นตัว)
โยนิกำเนิด เกิดในมดลูก
อุปาทินนกสังขาร (สังขารที่มีใจครอง)
อนุปาทินนกสังขาร (สังขารที่ไม่มีใจครอง)
ก็ล้วนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเทพยเจ้าทั้ง 9 ทั้งสิ้น
บุคคลทุกคนนับตั้งแต่พระราชาตลอดลงมาจนถึงราษฎรสามัญ ถ้ามีความประพฤติไปในทางอกุศลดังกล่าวไว้ข้างต้น มีพฤติการณ์ปลูก เหตุอกุศล ก็จักได้รับ ผลอกุศล ที่ได้หว่านไว้นั้นเอง เช่น
1 พระราชา ไม่ทรงตั้งอยู่ใน ทศพิธราชธรรม โดยปราศจาก เมตตา กรุณาต่อข้าราชบริพารและราษฎร ในสุดท้ายก็ต้องทรงสูญเสียพระราชบัลลังก์ ทั้งนี้ก็เนื่อง พระองค์ปลูกเหตุอกุศลไว้ ก็ทรงรับผลอกุศลตามมาสนอง
2ข้า ราชบริพาร ไม่ภักดีซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติและพระมหากษัตริย์ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ในสุดท้ายก็ต้องถูกริบสมบัติพัสถานทั้งนี้ก็เพราะตนได้ปลูกเหตุอกุศลไว้ และผลอกุศลตามมาสนอง
3 บิดา ไม่ให้ความอุปการะแก่บุตร ไม่รับรองหรือไม่เลี้ยงดูบุตรตามสถานะ ในสุดท้ายก็เป็นผู้ปราศจากลูกหลานช่วยเหลือ
4 บุตร ไม่มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ให้กำเนิด ในสุดท้ายบุตรของตนเอง จะสนองตนด้วยความอกตัญญูเช่นกัน
5 พี่ ไม่มีความอารีอารอบเอ็นดูต่อน้อง ในสุดท้ายเหตุร้ายก็ยังผลร้ายให้ คือ ตัดมือตัดเท้าของตนเอง จะไปเฟ้นหาใครอื่นผู้มีความสนิทสนมไว้วางใจได้เท่ากับน้องของตนเองหามีไม่
6 น้อง ไม่เคารพ นับถือ ยำเกรงพี่ ผู้ที่เคย เอื้อเฟื้อ มาแต่น้อยอีกทั้งมีอาวุโสกว่า และดื่มนมร่วมถันร่วมครรภ์มารดามาด้วยกัน ในสุดท้ายบรรดา วงศา คณาญาติก็ตัดขาดจากตน
7 สามี ไม่เลี้ยงดูภริยาอย่างเป็นธรรม ไม่นำพากิจในครอบครัว เอาแต่สนุกเที่ยวเตร่ ดื่มเหล้าเมายา ในสุดท้ายเรือนที่ตนเองพำนักอยู่นั้นจะทะลายลง
8 ภริยา ไม่ครองตนเป็นแม่บ้าน ประพฤติเล่นการพนัน สามีหาเงินมาเท่าใดไม่พอใช้ กลับเที่ยวหยิบยืมเงินมีหนี้สิน ในสุดท้ายก็เป็นคนมีเสนียดเป็นที่รังเกียจทั่วไป
9 มิตร ไม่ซื่อตรง ไม่มีความจริงต่อเพื่อน
10 สหาย คิดคตทรยศต่อเกลอ ทั้งสองประเภทนี้ ในสุดท้ายคนเองก็ถูกตัดออกจากหมู่สังคมทั่วไป
ความว่า พระราชาก็ดี, ข้าราชบริพารก็ดี, บุคคลทั่วไปก็ดี ควรจะลดละอกุศลกรรม ที่กล่าวมาเบื้องต้น และอุตส่าห์สะสมแต่สิ่งที่ดีที่งามเพื่อรับพรจากเทพยเจ้าทั้ง 9 พระองค์ จักมีความรุ่งเรืองผาสุกยิ่งๆขึ้นไป
เทพยเจ้า ทั้ง 9 พระองค์นี้ ทรงน้ำพระทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาคุณ ทรงควบคุมดาวนพเคราะห์ให้เดินตามวิถีโคจรด้วยความบริบูรณ์ ทั้งทรงธรรมเนตรสอดส่องควบคุมทุกข์สุขของสัตว์โลกด้วย
บัณฑิต ในโบราณ จึงได้บัญญัติไว้ให้มีการกระทำพิธีกรรมบูชาดาวนพเคราะห์นี้เพื่อเป็นการแสดง ความเคารพในพระเมตตากรุณาธิคุณเป็นงานประจำปี ให้บรรดาพุทธบริษัทได้มาประชุมบำเพ็ญกุศลวัตร์ถวายพุทธบริโภค, รักษาศีล สดับฟังพระอภิธรรมและพระธรรมเทศนา, บริจาคไทยทานทิ้งกระจาด และลอยกระทง แผ่กุศลแก่สัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากในนรกอเวจีอันมีพวกเปรตอสุรกายเป็นอาทิ และปล่อยสัตว์เช่น นก, ปลา, เต่า,เหล่านี้เป็นต้น
ใน ลัทธิมหายานยังมีอรรถกล่าวอธิบายว่า “ดาวพระเคราะห์ทั้ง 9 นี้ ต่างกระทำการในหน้าที่หมุนเวียนธาตุทั้ง 5 ให้แก่มวลมนุษย์นับเป็นเวลาหลายล้านปี มาโดยมิได้หยุดพักเลยก็เนื่องด้วย พระองค์ทรงบัญชาบริรักษ์ควบคุมอยู่ และทรงเล็งทิพยญาณว่า ถ้าหากดวงดาวนพเคราะห์จะหยุดพักแม้เพียงขณะใดขณะหนึ่งเล็กน้อยเท่านั้น ก็จะเกิดมหันตภัยอย่างใหญ่หลวงสุดจะปริมาณได้ โลกมนุษย์ก็จะถึงซึ่งความพินาศสลายลง มนุษย์กับสัตว์โลกจะตายหมด จะไม่มีแม้แต่ละอองธุลีของสังขารเหลืออยู่เลย”
อัน พิธีกรรมบูชาดาวนพเคราะห์นั้น นับว่ามีอานิสงส์มากมาย ทั้งเป็นกรรมคติและเกิดธรรมนิมิต สู่บรรดาพระพุทธบริษัททั้งหลาย ได้มีโอกาสกระทำการวิสาสะกันในยามที่ต่างคนต่างมีจิตเบิกบานผ่องแผ้ว ถือศีล กินเจ นุ่งขาว ห่มขาว อันเป็นปัจจัยเตือนตนเองให้สำนึกว่า ตนเป็นคนบริสุทธิ์ขาวสะอาด ทั้งกาย วาจา และใจ อยู่ในศีลธรรม และสามัคคีธรรม พรั่งพร้อมอยู่แล้วที่จะให้อภัยอโหสิกรรมซึ่งกันและกันร่วมกันน้อมนมัสการ เทพยเจ้าทั้ง 9 พระองค์นี้ เป็นการแสดงความเคารพในพระเมตตากรุณาธิคุณ และร่วมกันถวายเครื่องสรรพสักการบูชาพระองค์ทั้ง 9 เป็นการบูชาพระเมตตาคุณที่ทรงไว้ซึ่งธาตุทั้ง 5 ให้แก่ โลกทุกโลกดำรงอยู่ตามจักรราศียั่งยืนตลอดมาจึงพร้อมกัน น้อมขอพระกรุณาธิคุณได้โปรดประทาน พระอภิบาล รักษา พระมหากษัตริย์องค์อมร พร้อมทั้งทวยนิการ ให้อยู่เย็น เป็นสุข และขอพระองค์ ทรงประสิทธิ์ประสาทพระพรไชย
“ให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชธัญญาหารงอกงาม พูนผล
พระราชาทรงพิพัฒนมงคล ราชปริสชนสวัสดิ์สถาพร
ชาวนาชาวไร่สมัครสโมสร มวลราษฎรระเริงรื่นยืนยง
เศรษฐกิจทั่วเขตต์ขันฑ์มั่นคง การศึกษาดำรงวิทยาพูน
ประเทศชาติเรืองรุ่งไพบูลย์ พระพุทธศาสน์จำรูญกาลนิรันดร
อันเป็นพระทศพรไชยสิทธิ์วิเศษ สิบประการสมดังปรารถนาด้วยเทอญ
ด้วย ความที่กล่าวมานี้ จึงสรุปได้ว่า พิธีจั้งแช-โหลยเต้า เป็นการกระชับเทศกาลกินเจหมดเข้าสู่พิธีกรรมในชั่วเวลาชั่วโมงเศษ จั้งแช บูชาดาวนพเคราะห์ ซึ่งเป็น อวตารภาคของพระพุทธเจ้า 7 พระองค์และพระโพธิสัตว์ 2 พระองค์ ซึ่งเป็นต้นธาร อันได้กระทำการบูชาในโหลยเต้า การเดินทัศขิณาวัตร เป็นการบูชาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า จึงให้ผลานิสงส์ในการมีอายุวัฒนะ พร้อมสุขภาพอันดีเลิศ ปราศจากทุกข์ทั้งกายและใจ