ถอดเทปพระธรรมเทศนา

เทป005

กายานุปัสสนา ๔ ชั้น

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

ศีลคือความปรกติใจ ๓

อานาปานสติในสัญญา ๑๐ ๔

สติที่มีหน้าโดยรอบ ๕

อานาปานสติ ๔ ชั้น ๖

คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความเกือบสมบูรณ์

ม้วนที่ ๖/๑ ครึ่งหลัง ต่อ ๖/๒ ( File Tape 05 )

อณิศร โพธิทองคำ

บรรณาธิการ

กายานุปัสสนา ๔ ชั้น

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต

ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง

เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

ปัญญาในธรรมนั้นต้องอาศัยสมาธิ และสมาธินั้นก็ต้องอาศัยศีล

พร้อมกับสรณะเป็นภาคพื้น สรณะนั้นจำต้องอาศัยโดยแท้

เพราะธรรมะทั้งปวงอาศัยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าผู้พระบรมศาสดา

ฉะนั้น ความรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ ก็คือการถึงสรณะ หรือมีสรณะนั้นเอง

ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติจึงควรตั้งใจถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะคือที่พึ่ง

ตั้งใจถึงพระธรรมเป็นสรณะคือที่พึ่ง ตั้งใจถึงพระสงฆ์เป็นสรณะคือที่พึ่ง

ความตั้งใจถึงนี้เป็นความตั้งใจที่แน่วแน่ ไม่มีแบ่ง ดังบทสวดที่ว่า

นัทถิ เม สรณัง อัญญัง ที่พึงอื่นของข้าพเจ้าไม่มี

พุทโธ เม สรณัง วรัง พระพุทธเป็นที่พึงอันประเสริฐของข้าพเจ้า

ธัมโม เม สรณัง วรัง พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า

สังโฆ เม สรณัง วรัง พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า

ดั่งนี้ เป็นความตั้งใจถึงที่ไม่มีแบ่งไปที่อื่น เป็นความตั้งใจถึงที่แน่วแน่ และที่มั่นคง

เมื่อเป็นดั่งนี้ การถึงสรณะนี้เองก็นำให้สมาทานศีล นำให้ตั้งใจปฏิบัติศีล

ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ตั้งต้นแต่ศีล ๕

ตั้งใจงดเว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง ตั้งใจงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้

ตั้งใจงดเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย หรือตั้งใจเว้นจากอพรหมจริยกิจ

ตั้งใจงดเว้นจากการพูดเท็จ ตั้งใจงดเว้นจากน้ำเมาคือสุราเมรัย

อันเป็นทางที่ตั้งของความประมาท ผู้ที่มีความตั้งใจยิ่งขึ้นไปก็ตั้งใจปฏิบัติในศีลที่ยิ่งขึ้นไป

ศีลคือความปรกติใจ

ศีลนี้จะเป็นศีล ๕ หรือศีลที่ยิ่งขึ้นไปกว่าก็ตาม

ย่อมรวมอยู่ในลักษณะอันเดียวคือความปรกติใจ พร้อมทั้งกายและวาจา

ความปรกติใจนั้นก็คือใจไม่ถูกราคะหรือโลภะโทสะโมหะครอบงำดึงเอาไป

จึงเป็นใจที่เป็นปรกติ มิได้คิดที่จะละเมิดศีลข้อใดข้อหนึ่ง

มิได้คิดที่จะก่อภัยก่อเวรอย่างใดอย่างหนึ่ง

เพราะเมื่อจิตไม่ถูกกิเลสดังกล่าวครอบงำ ก็เป็นจิตที่เป็นปรกติ

เหมือนอย่างน้ำในแม่น้ำที่ไม่มีลม ก็เป็นน้ำที่ไหลไปเป็นปรกติ

หรือที่ขังอยู่เป็นปรกติ ไม่เกิดเป็นละลอกคลื่น ความที่เป็นปรกติดั่งนี้คือศีล

และเมื่อจิตถึงพระพุทธ... (เริ่ม ๖/๒ ) จะนิ่งหรือจะพูดก็เป็นปรกตินั่นเอง

จะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก็เป็นปรกติอยู่นั่นเอง ดั่งนี้ก็คือศีล

ฉะนั้น ความที่ตั้งใจถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์

ดังสวดว่า พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ ก็ดี

หรือ นัทถิเมสรณังอัญญัง พุทโธเมสรณังวรัง ธัมโมเมสรณังวรัง สังโฆเมสรณังวรัง

ดังกล่าวมาข้างต้นนั้นก็ดี ก็เป็นอันอัญเชิญพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์

มาตั้งอยู่ในจิตนั้นเอง เพราะฉะนั้นจิตก็เป็นจิตที่มีสรณะขึ้นมา เป็นจิตที่มีศีลขึ้นมา

จึงเป็นพื้นฐานสำหรับสมาธิ และสำหรับปัญญาต่อไป

และพื้นฐานดังกล่าวนี้ก็ควรที่จะได้ตั้งใจให้มีขึ้นทุกคราวที่ปฏิบัติ ทุกๆวัน

ก็จะทำให้การปฏิบัติในสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน

หรือสมาธิปัญญานั้นเป็นไปได้สะดวกขึ้น

และเมื่อได้สรณะได้ศีลมาเป็นพื้นฐานดังกล่าวนี้ก็ชื่อว่าได้ช่องได้โอกาส

ได้ความเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติในสมาธิสืบต่อไปถึงปัญญา

อานาปานสติในสัญญา ๑๐

ใน สัญญา ๑๐ ข้อ ๑๐ นั้น พระบรมศาสดาได้ทรงแสดงอานาปานสติ

คือสติที่กำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก ก็เช่นเดียวกับในสติปัฏฐาน ๔ นั่นแหละ

แต่ว่าอานาปานสติในหมวดธรรมนี้แสดงอานาปานสติ ๑๖ ชั้น

โดยที่จัดเป็นขั้นกายานุปัสสนา ๔ ชั้น เวทนานุปัสสนา ๔ ชั้น

จิตตานุปัสสนา ๔ ชั้น และธรรมานุปัสสนา ๔ ชั้น

สำหรับที่เป็นชั้นกายานุปัสสนา ๔ ชั้นนั้น

ก็เช่นเดียวกับที่ตรัสแสดงไว้ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในมหาสติปัฏฐานสูตร

โดยที่ตรัสสอนตั้งต้นแต่การที่เข้าไปสู่ป่า เข้าไปสู่โคนไม้ หรือว่าเข้าไปสู่เรือนว่าง

นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติให้เหมือนอย่างมีหน้ารอบด้าน

นั่งคู้บัลลังก์นั้นก็คือนั่งดังที่เรียกกันว่านั่งขัดสะหมาด ซึ่งนิยมนั่งกัน เท้าขวาทับเท้าซ้าย

ตั้งกายตรงก็คือตั้งกายให้ตรง ไม่ให้น้อมไปข้างหน้า ไม่ให้น้อมไปข้างหลัง

ไม่ให้น้อมไปข้างซ้ายข้างขวา ส่วนจะวางมืออย่างไรในขั้นบาลีไม่ได้แสดงไว้

แต่ก็มีนิยมใช้กัน เช่น วางมือทับกัน เช่นมือขวาทับมือซ้ายให้นิ้วใหญ่ชนกัน

หรือว่าจะวางมือให้ห่างกันอย่างไรก็สุดแต่ความสะดวก

และเมื่อได้สถานที่ และได้จัดการนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็ตั้งใจถึงสรณะ

และตั้งใจให้เป็นศีลขึ้นมาเป็นเบื้องต้นก่อน เพื่อให้เป็นพื้นฐานดังที่กล่าวมาแล้ว

สถานที่ก็ดี อิริยาบถนั่งก็ดี ก็นับว่าเป็นการจัดในส่วนภายนอก

เกี่ยวแก่สถานที่ เกี่ยวแก่กาย อันนับว่าเป็นกายวิเวกความสงัดกาย

และก็จัดการอัญเชิญพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์มาประทับอยู่ในจิตใจ

ด้วยการถึงสรณะ เป็นสรณะคือที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง

เพราะเมื่อมีพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์มาประทับอยู่ในจิตใจ จิตใจถึง

ก็จะทำให้จิตใจนี้บริสุทธิ์ สงบ และกล้าหาญ ไม่หวาดกลัวอะไร

แม้ว่าจะไปนั่งอยู่ในป่าจริงๆ ในโคนไม้จริงๆ แม้ว่าจะนั่งอยู่คนเดียวก็ตาม

เมื่อได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์มาประทับอยู่ในจิต

ด้วยการตั้งใจถึงเป็นสรณะดั่งนี้แล้ว ก็จะทำให้ไม่กลัวอะไร

ไม่กลัวผีสาง เทวดา ไม่กลัวสัตว์ร้าย ใจก็จะบริสุทธิ์และกล้าหาญ สงบ

ก็เป็นศีลขึ้นมาดังที่กล่าวแล้ว ก็กำหนดเอาไว้ว่า นี่เรามีสรณะ เรามีศีล

เรามีสรณะก็ไม่ต้องกลัวอะไร เรามีศีลก็มีพื้นฐานของสมาธิ

และให้กายวาจาใจนี้เองเป็นที่ตั้งเป็นที่รองรับของสรณะ คือพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ ของศีล กายวาจาใจนี้ก็จะเป็นศีลขึ้นมา เป็นกายวาจาใจที่สงบที่บริสุทธิ์

สติที่มีหน้าโดยรอบ

เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

สโต อัสสะ สติ มีสติหายใจเข้า สโต ปัสสะ สติ มีสติหายใจออก

เอาสติที่ไหนมามี ก็เอาสติที่ได้เตรียมเอาไว้ดังที่ตรัสสอนไว้

ว่าตั้งกายตรง ตั้งสติให้มีหน้าโดยรอบ

คำว่าให้มีสติที่มีหน้าโดยรอบนั้น ถ้าเทียบอย่างบุคคลก็มีหน้าอยู่หน้าเดียว

และมีตาอยู่สองตา ก็มองเห็นไปด้านหน้าเท่านั้น ไม่เห็นด้านหลัง ไม่เห็นด้านข้างทั้งสอง

แต่ว่าที่ว่าให้มีสติ ให้ตั้งสติมีหน้าโดยรอบนั้น ก็เหมือนอย่างว่าร่างกายอันนี้มีสี่หน้า

มีหน้าข้างหลัง มีหน้าข้างๆสองข้าง สี่หน้าอย่างพระพรหม รูปพระพรหมสี่หน้า

ก็แปลว่าเห็นได้ทุกด้าน

ปฏิบัติตั้งสติให้มีหน้าโดยรอบนั้นก็คือ ให้เหมือนอย่างสติมีหน้าสี่หน้า

หรือมีหน้าโดยรอบ เป็นสติที่รู้ที่เห็นรอบด้าน ให้ตั้งเอาไว้ดั่งนี้

ก็คือทำจิตนี้เองให้เป็นจิตที่ตั้งเพื่อจะรู้ รู้รอบด้าน

ให้รู้ในอะไร ก็คือให้รู้ในลมหายใจ หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้

ลมหายใจเข้าลมหายใจออกนั้น ให้มีสติรู้โดยรอบ คือรู้ให้ทั่วถึงทั้งหมด

อานาปานสติ ๔ ชั้น

และเมื่อตั้งเป็นแม่บทใหญ่ไว้ดั่งนี้แล้ว จึงได้ตรัสสอนออกไปเป็น ๔ ชั้น

คือชั้นที่ ๑ หายใจเข้ายาวก็ให้รู้ หายใจออกยาวก็ให้รู้

ชั้นที่ ๒ หายใจเข้าสั้นก็ให้รู้ หายใจออกสั้นก็ให้รู้

ชั้นที่ ๓ ศึกษาคือตั้งใจสำเหนียกกำหนดไว้ว่า เราจักรู้ทั่วถึงกายทั้งหมด หายใจเข้า

เราจักรู้ทั่วถึงกายทั้งหมด หายใจออก

ชั้นที่ ๔ ศึกษาคือสำเหนียกกำหนดว่า เราจักรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกาย หายใจเข้า

เราจักรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกาย หายใจออก ดั่งนี้

ทั้ง ๔ นี้รวมเป็นชั้นกายานุปัสสนาดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ในข้อกาย

ในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้น เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง

ที่ท่านสอนให้ปฏิบัติตั้งต้นทำอานาปานสติไว้ดั่งนี้

ฉะนั้น ในการปฏิบัติตามที่ทรงสั่งสอนไว้นี้

โดยยังไม่นึกถึงคำอธิบายของอาจารย์ต่างๆ ก็สามารถที่จะปฏิบัติได้

ดังในชั้นที่ ๑ หายใจเข้ายาวก็รู้ว่าเราหายใจเข้ายาว หายใจออกยาวก็รู้ว่าเราหายใจออกยาว

ซึ่งในขั้นนี้ก็เริ่มตั้งแต่มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก คือรวมจิตเข้ามากำหนด

ลมหายใจเข้าออกที่เป็นไปอยู่โดยปรกตินี้ ให้รู้ ..ว่านี่เข้านี่ออก

และในข้อว่ายาวนั้น ก็คือลมหายใจเข้าออกที่เป็นไปโดยปรกตินี้เอง

ที่เป็นการหายใจที่ไม่ติดขัดอะไร ก็เป็นการหายใจอย่างที่เรียกกันว่าหายใจทั่วท้อง

ที่เป็นไปโดยปรกติ ดังที่เมื่อหายใจเข้าท้องก็จะพอง หายใจออกท้องก็จะยุบ

เป็นการหายใจทั่วท้อง เพราะฉะนั้น ก็ทำความรู้ในลมหายใจเข้า ก็ผ่านจมูกเข้าไป

และเมื่อหายใจออกก็ผ่านจมูกออกมา กำหนดดูให้รู้ความกระทบของลมเมื่อเข้าเมื่อออก

ตลอดจนถึงอาการที่ท้องพองหรือยุบนั้น ให้รู้ตลอด ดั่งนี้ก็เรียกว่ายาว

ก็เป็นไปโดยปรกตินั้นเอง

คราวนี้มาถึงข้อ ๒ ที่ว่าสั้นนั้น

เมื่อได้ตั้งใจกำหนดอยู่ดั่งนี้ ใจก็สงบเข้า กายก็สงบเข้า

เมื่อกายและใจสงบเข้า ลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็ละเอียดเข้า ละเอียดเข้าเอง

และเมื่อละเอียดเข้าเองก็สั้นเข้าเอง เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ให้รู้ว่าทีแรกนั้นก็หายใจเข้าหายใจออกยาว

และเมื่อกายใจละเอียดเข้า ลมหายใจละเอียดเข้า หายใจเข้าหายใจออกก็สั้นเข้าเอง

เมื่อยังยาวนั้น หายใจเข้าหายใจออกทั่วท้อง ท้องก็พองหรือยุบ

และเมื่อละเอียดเข้าอาการที่ท้องพองท้องยุบนั้นก็ลดลง จนถึงเหมือนอย่างไม่พองไม่ยุบ

คราวนี้หายใจไม่ทั่วท้องเสียแล้ว เหมือนอย่างลงมาเพียงครึ่งหนึ่ง แค่อุระคือทรวงอก

และเมื่อกายและใจละเอียดเข้าอีก ลมหายใจก็ละเอียดเข้าอีก ก็สั้นเข้าอีก

เหมือนอย่างมาแผ่วๆอยู่แค่ปลายจมูกเท่านั้น

และเมื่อละเอียดเข้าอีกอาการแผ่วๆนั้นก็หายไปไม่ปรากฏ เหมือนอย่างไม่หายใจ

แต่อันที่จริงนั้นไม่ใช่ไม่หายใจ ..หายใจ แต่ว่าละเอียดมากเป็นไปเอง

เพราะกายและใจละเอียดมากเข้า อาการหายใจก็ละเอียดเข้าๆ

จนถึงที่แผ่วๆปลายจมูกก็ไม่ปรากฏ เป็นลมที่ผ่านเข้าผ่านออกที่ไม่ปรากฏ

จิตใจก็จะมีความปลอดโปร่ง มีความสงบมากขึ้น

และเมื่อปฏิบัติมาดั่งนี้ ก็จะไปถึงขั้นที่ ๓ เข้าเอง คือว่าจะมีความรู้ในกายทั้งหมด

ทั้งที่เป็นส่วนรูปกายส่วนนามกาย ซึ่งคล้ายๆกับว่ารู้ลมหายใจนี่เองทั้งหมด

ใจมารวมอยู่รู้ลมหายใจทั้งหมด

ก็เหมือนอย่างว่ากายทั้งหมดนี้มานั่งอยู่ในลมหายใจที่กำหนดรู้นั้น

และความรู้ทั้งหมดนั้นก็ไม่ไปที่ไหน ก็มารวมอยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น

เพราะฉะนั้น จึงเป็นความรู้ที่มาตั้งอยู่ในภายใน ทั้งลมหายใจ ทั้งรูปกาย ทั้งนามกาย

มารวมอยู่ในความรู้อันเดียวกันทั้งหมดไม่แตกแยกไปข้างไหน

ดั่งนี้ก็เป็นขั้นที่ ๓ รู้กายทั้งหมดหายใจเข้าหายใจออก

ซึ่งในการปฏิบัตินั้นก็ต้องอาศัยการศึกษาคือความตั้งใจสำเหนียกกำหนด

ว่าเราจะรู้กายทั้งหมดหายใจเข้าหายใจออก แล้วก็จะเกิดความรู้กายทั้งหมดขึ้นมา

และก็ขั้นที่ ๔ ก็จะเป็นต่อกันไปเอง คือรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกาย

ซึ่งท่านชี้เอาว่ากายสังขารนั้นก็คือตัวลมหายใจนี่แหละเป็นเครื่องปรุงกาย

เพราะฉะนั้น ก็ระงับลมหายใจนี้ให้ละเอียดเข้าๆ

ซึ่งความระงับลมหายใจนี้ก็เป็นไปเองอยู่แล้วตามการปฏิบัติ

แต่เมื่อมีความศึกษากำหนดดูแล้วก็ปฏิบัติให้สงบยิ่งขึ้น ก็ทำให้สงบยิ่งขึ้นๆไปโดยลำดับขึ้นเอง ก็แปลว่าสั้นเข้าๆดังที่กล่าวมาในข้อ ๒ นั้น จนถึงแผ่วๆอยู่ปลายจมูก

หรือจนถึงแผ่วๆนั้นก็ไม่มี หายไป แต่อันที่จริงนั้นไม่ใช่หายไปไหน ก็อยู่นั่นแหละ

แต่ว่ากายใจละเอียดที่สุด ลมหายใจก็ละเอียดที่สุด จนถึงไม่ปรากฏอาการแผ่วๆที่ปลายจมูก

ซึ่งในขั้นนี้ท้องพองยุบอะไรก็หายหมด ไม่มี ลมแผ่วๆปรากฏที่ปลายจมูกก็หายหมด ไม่มี

เหมือนอย่างอยู่เฉยๆไม่หายใจ แต่อันที่จริงนั้นหายใจ แต่ว่าละเอียดมากละเอียดที่สุด

ดั่งนี้ก็เป็นขั้นที่ ๔ ระงับกายสังขารเครื่องปรุงกาย ก็เป็นอันจบขั้นกายานุปัสสนา

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

เวทนานุปัสสนา ๔ ชั้น

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

ภัพพบุคคล ๒

เวไนยนิกร ๓

เวทนานุปัสสนา ๔ ชั้น ๔

ปีติ สุข ๕

กายสังขาร จิตตสังขาร ๖

ปัจจัยให้เกิดตัณหา ๗

คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์ จบในหน้าเดียว

ม้วนที่ ๗/๑ ( File Tape 05 )

อณิศร โพธิทองคำ

บรรณาธิการ

เวทนานุปัสสนา ๔ ชั้น

*

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

วัดบวรนิเวศวิหาร

*

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต

ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ

ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง

เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

ปัญญาในธรรมนั้นก็ต้องอาศัยศีลเป็นภาคพื้น อาศัยสมาธิเป็นบาท

เป็นอันว่า ศีล สมาธิ ปัญญา หรือปัญญาศีลสมาธิ หรือปัญญาสมาธิและศีล

ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน อันผู้ปฏิบัติธรรมะจะพึงปฏิบัติให้มีทั้งสาม

ดังจะพึงเห็นได้ว่าปัญญานั้นต้องมีเป็นภาคพื้นมาก่อนเหมือนกัน คือปัญญาที่เป็นพื้น

จึงทำให้รู้จักพุทธศาสนา รู้จักศีล รู้จักสมาธิ รู้จักปัญญา รู้จักปฏิบัติศีลสมาธิปัญญา

นี้ต้องอาศัยปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาเป็นพื้นอยู่เพียงพอก็จะไม่รู้จัก ไม่สามารถปฏิบัติได้

ภัพพบุคคล

ดังจะพึงเห็นได้ถึงสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย

ไม่มีปัญญาเพียงพอที่จะรู้จักธรรมะ ที่จะรู้จักปฏิบัติธรรมะ

แต่มนุษย์นั้นมีปัญญาเพียงพอที่จะรู้จัก ที่จะปฏิบัติได้

แต่แม้เช่นนั้นก็มีระดับของปัญญาแตกต่างกัน

ถ้าหากว่ามีปัญญาน้อยมากเกินไปก็ยากที่จะรู้จัก ยากที่จะปฏิบัติได้เหมือนกัน

ต้องมีปัญญาพอสมควรที่เรียกว่า ภัพพบุคคล เป็นบุคคลผู้สมควร ก็คือมีปัญญาพอสมควร

และนอกจากนี้ยังจะต้องมีกิเลสเบาบางพอสมควร ไม่ใช่กิเลสหนานัก

ถ้าหากว่ามีกิเลสหนานัก ก็ยากที่จะรู้จักธรรมะ รู้จักปฏิบัติธรรมะได้

ดังเช่นที่มีโลภโกรธหลงจัดเกินไป หรือว่ามีทิฏฐิมานะที่รุนแรงเกินไป

มีมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดที่ดิ่งลงไปมากที่เรียกว่า นิยตมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิที่ดิ่งลงไป

ก็ยากที่จะรู้จักธรรมะ ปฏิบัติธรรมะได้ ทำให้ไม่เป็น ภัพพบุคคล คือบุคคลผู้ที่สมควร

เรียกว่าเป็นคนอาภัพหรือ อภัพ ไม่สมควร คือไม่อาจที่จะรู้จักที่จะปฏิบัติธรรมะให้บรรลุผลได้

หรือว่ามีกรรมที่ประกอบไว้หนักมากเกินไป

ดังที่ยกขึ้นแสดงก็คือ อานันตริยกรรม กรรมที่หนักมาก

กรรมนี้เองก็ทำให้ไม่สามารถบรรลุผลของธรรมะที่เป็นมรรคเป็นผลได้

แม้ว่าจะรู้จักธรรมะ และปฏิบัติธรรมะได้ตามสมควร ก็ได้บรรลุผลตามสมควร

แต่ที่จะให้ได้มรรคให้ผลให้ได้นิพพานนั้นท่านว่าไม่ได้ ก็เป็นอาภัพหรือ อภัพพบุคคล

ส่วนบุคคลนอกจากนี้ไม่โง่เง่าทึบมืดเกินไป มีปัญญาที่เป็นพื้นอยู่ตามสมควร

และก็มีกิเลสที่ไม่หนามากนัก ไม่มีทิฏฐิมานะจัดนัก ไม่มีความเห็นผิดที่ดิ่งลงไป

และมิได้ประกอบกรรมที่หนักมากเป็นขั้น อานันตริยกรรม เป็นภัพพบุคคล บุคคลผู้ที่สมควร

สามารถที่จะรู้จักธรรมะ ที่จะปฏิบัติธรรมะ จนถึงบรรลุมรรคผลนิพพานได้ด้วยกัน

เพราะฉะนั้นบุคคลส่วนใหญ่จึงกล่าวได้ว่าอยู่ในจำพวกภัพพบุคคล

เวไนยนิกร

และภัพพบุคคลนี้เองก็รวมอยู่ในจำพวกที่เรียกว่า เวไนยนิกร หรือ เวเนยนิกร

แปลว่าหมู่ของคนที่จะพึงแนะนำดัดอบรมได้

และก็อยู่ในจำพวกที่เรียกว่า ทัมมะปุริสะ หรือธรรมปุริสะบุรุษที่ฝึกได้

ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเป็น ปุริสทัมสาระถิ แปลว่าฝึกบุรุษที่พึงฝึกได้ คือฝึกคนที่พึงฝึกได้

ก็หมายถึงที่เป็นเวไนยนิกร หรือที่เป็นภัพพบุคคลดังกล่าวมานี้นั่นเอง

และบุคคลที่เป็นภัพพบุคคล เป็นเวไนยนิกร หรือเวเนยยะ หรือเป็นธรรมะบุรุษสตรีดั่งนี้

กล่าวได้ว่าย่อมเป็นผู้ที่มีศีลบารมี สมาธิบารมี ปัญญาบารมี ที่ได้อบรมกันมาตามสมควรแล้ว

เพราะฉะนั้น จึงได้มีปัญญาที่รู้จักพุทธศาสนา รู้จักที่จะฟังธรรม เข้าใจธรรม ทรงจำธรรม

ปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่จะเพิ่มเติมศีลสมาธิปัญญา อันเป็นพื้นนี้ให้มากขึ้นไปได้

เวทนานุปัสสนา ๔ ชั้น

พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนอานาปานสติที่จัดเป็นขั้นกายานุปัสสนา ๔ ขั้น หรือ ๔ ชั้น

ต่อจากนั้นก็ได้ตรัสสอนที่เป็นขั้นเวทนานุปัสสนาต่อไป คือตรัสสอนให้ศึกษา

สำเหนียกกำหนด ว่าเราจักรู้ทั่วถึงปีติหายใจเข้าหายใจออก เป็นขั้นที่ ๑

ต่อไปขั้นที่ ๒ ตรัสสอนว่าเราจักศึกษาคือสำเหนียกกำหนด รู้ทั่วถึงสุข หายใจเข้าหายใจออก

ต่อไปขั้นที่ ๓ ตรัสสอนว่าเราจักศึกษาคือสำเหนียกกำหนด

ให้รู้จักทั่วถึงจิตตสังขารเครื่องปรุงจิตหายใจเข้าหายใจออก

และขั้นที่ ๔ ตรัสสอนว่าเราจักศึกษาสำเหนียกกำหนดให้รู้จัก

เราจักศึกษารำงับจิตตสังขารเครื่องปรุงจิต หายใจเข้าหายใจออก ดั่งนี้

ในการปฏิบัติทำสติสำเหนียกกำหนด ปีติ สุข จิตตสังขารเครื่องปรุงจิต

และรำงับจิตตสังขารเครื่องปรุงจิตนี้ นับเป็นเวทนานุปัสสนา ตามรู้ตามเห็นเวทนา

และจะพึงเห็นได้ว่าเป็นเวทนาฝ่ายสุขเวทนา การที่ยกฝ่ายสุขเวทนาขึ้นนี้ก็เพราะว่า

เป็นการปฏิบัติที่สืบต่อมาจาก ๔ ชั้น ที่เป็นขั้นกายานุปัสสนา สติที่ตามรู้ตามเห็นกาย

ก็เพราะว่าการปฏิบัติทำสติกำหนดลมหายใจเข้าออกมาโดยลำดับตั้งแต่ขั้นแรก

มีสติหายใจเข้ามีสติหายใจออก หายใจเข้าออกยาวก็ให้รู้ หายใจเข้าออกสั้นก็ให้รู้

และให้กำหนดสำเหนียกรู้กายทั้งหมด ซึ่งแปลกายว่ากองลมทั้งหมดก็ได้

แปลว่ารูปกายนามกายทั้งหมดก็ได้ ซึ่งรวมความว่าให้ใจกำหนดรู้ทั้งกายและใจทั้งหมด

ในการกำหนดรู้กายและใจทั้งหมดนี้ก็ย่อมรวมลมหายใจเข้าออกเข้าด้วย

และรวมตัวความกำหนดเองเข้าด้วยกัน เป็นอันว่ารู้กายใจทั้งหมด

เหมือนอย่างว่ารู้เห็นตัวนี้ นั่งอยู่ในตัวความรู้ ตัวความรู้ครอบคลุมตัวนี้ทั้งหมด

ซึ่งตัวนี้ทั้งหมดก็คือกายใจอันนี้เอง หายใจเข้าหายใจออก

และก็ศึกษาสำเหนียกกำหนดที่จะระงับเครื่องปรุงกายที่เรียกว่ากายสังขาร

ก็ชี้เอาลมหายใจเข้าออกนี่แหละ ให้ละเอียด สงบยิ่งขึ้นๆดังที่กล่าวมาแล้ว

ปีติ สุข

ในการปฏิบัติในขั้นกายที่กล่าวมาโดยลำดับนี้ย่อมจะได้ปีติ คือความอิ่มใจ อิ่มเอิบใจ

ซึ่งบางทีก็มีอาการเป็นขนลุกซู่ซ่าไปทั้งตัว บางทีก็มีอาการซาบซ่าน น้อยบ้างเบาบ้าง

อยู่ทั่วกายทั่วใจ ซึ่งเป็นลักษณะของปีติ และได้สุขซึ่งมีอาการเป็นความสบายกายสบายใจ

ความสบายกายสบายใจอันเรียกว่าสุขนี้มีลักษณะที่ละเอียดกว่าปีติ

อันปีตินั้นย่อมมีอาการที่ซู่ซ่าทั้งกายทั้งใจ ซาบซ่านไปทั้งกายทั้งใจ

จึงมีลักษณะที่เหมือนอย่างเป็นฟ้าแลบแปลบปลาบก็มี เหมือนอย่างเป็นคลื่นกระทบฝั่งก็มี

หรือบางทีก็ทำให้มีลักษณะเป็นปีติอย่างโลดโผน จนถึงที่ท่านแสดงว่าทำให้กายลอยไปได้

ดั่งนี้ก็มีเป็นลักษณะของปีติ

แต่ว่าสุขนั้นเป็นความสบายกายสบายใจที่สงบกว่าปีติ ละเอียดกว่าปีติ

ทั้งปีติและสุขนี้ย่อมเกิดขึ้นตั้งแต่ในขณะที่ปฏิบัติในขั้นกายนี้

เพราะเมื่อจิตรวมเข้ามาได้ความสงบใจสงบกายขึ้นแล้ว

ก็จะเริ่มมีปีติและเริ่มมีสุขอันเกิดจากการปฏิบัติในสมาธิ และก็จะมีเรื่อยๆไป

สำหรับปีตินั้นบางทีมักจะมีในขั้นต้นๆทำไม่เท่าไรก็จะได้ปีติ

แต่เมื่อคุ้นๆไปแล้วปีติก็มักจะเกิดบ้างไม่เกิดบ้าง๕

แต่อันที่จริงนั้นเป็นปีติอย่างละเอียดเข้า เป็นความซาบซ่านที่สงบเข้า

และก็เป็นความสุข สบายกายสบายใจ สงบมากขึ้นไปโดยลำดับ

กายสังขาร จิตตสังขาร

และเมื่อทำทีแรกนั้นจะรู้สึกมีความปวดเมื่อยที่โน่นที่นี่

เป็นทุกขเวทนาอยู่มากกว่าสุขเวทนา แต่ว่าเมื่อจิตได้สมาธิขึ้น ได้ปีติได้สุขขึ้น

ทุกขเวทนาก็จะลดลงๆ จนถึงเมื่อจิตรวมเข้ามามาก รู้กายทั้งหมด

และรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกาย ที่ท่านชี้เอาลมหายใจเข้าออกดังกล่าวนั้นได้มากขึ้น

ก็มีความปลอดโปร่งมากขึ้น จนความเมื่อยขบจะไม่บังเกิดขึ้นไม่ปรากฏ

นั่งอยู่ได้นานเหมือนอย่างไม่มีแข้งไม่มีขาที่จะเมื่อย เป็นความปลอดโปร่ง

เพราะเหตุว่าระงับกายสังขารคือเครื่องปรุงกายได้มากขึ้นๆ

ที่ยังมีเมื่อยขบอยู่มากนั้น ก็เพราะว่ากายสังขารเครื่องปรุงกายอันนี้เองมีอยู่มาก

ก็ทำให้มีทุกขเวทนามาก เมื่อกายสังขารเครื่องปรุงกายลดน้อยลงไป

ที่ตั้งของความเมื่อยขบก็จะหายไป ความเมื่อยขบก็จะไม่ปรากฏ

ปรากฏเป็นความสุขเป็นความปลอดโปร่งสบายอยู่โดยมาก

แต่แม้เช่นนั้นในขั้นกายนี้จิตก็ยังกำหนดอยู่ที่กาย

แต่เมื่อได้พบความระงับกายสังขารเครื่องปรุงกายมากขึ้น กายก็จะละเอียดเข้าๆ

เพราะฉะนั้นจึงเลื่อนขั้นขึ้นมากำหนดเวทนา ไม่กำหนดกาย

กำหนดตัวปีติที่บังเกิดขึ้น กำหนดตัวสุขที่บังเกิดขึ้น โดยที่มาตั้งการปฏิบัติที่เรียกว่าศึกษา

โดยที่ตั้งใจกำหนดปีติหายใจเข้าหายใจออก กำหนดสุขหายใจเข้าหายใจออก

เลื่อนขึ้นมาจากกาย ไม่กำหนดกาย แต่มากำหนดปีติหายใจเข้าหายใจออก

กำหนดสุขหายใจเข้าหายใจออก สติดูอยู่ที่ปีติ ดูอยู่ที่สุข

และก็ต้องหัดศึกษาคือสำเหนียกกำหนดต่อไปด้วย

คือคอยดูว่าปีติสุขที่บังเกิดขึ้นนั้นเป็นจิตตสังขาร คือเครื่องปรุงจิตหรือเปล่า

ปรุงจิตให้เกิดความติดใจยินดีที่เรียกว่าราคะ ความติดใจยินดี

หรือฉันทะความพอใจอยู่ในปีติในสุขหรือเปล่า

หัดกำหนดดูปีติสุขว่ามาเชื่อมกับจิตยังไง

ถ้าปีติและสุขมาเชื่อมเข้ากับจิต ทำให้จิตติด ติดในปีติ ติดในสุข

มีความเพลินอยู่ในปีติในสุข ก็ให้รู้จักว่านี่เป็นตัวจิตตสังขารเครื่องปรุงจิต

และเมื่อดูให้รู้จักว่าปีติสุขมาเชื่อมเข้ากับจิต จิตติดในปีติในสุข

กลายเป็นจิตตสังขารเครื่องปรุงจิตขึ้นมาดั่งนี้แล้ว

ก็ถึงขั้นที่จะต้องหัดศึกษากำหนดที่จะรำงับความติดในปีติสุข ซึ่งเป็นตัวจิตตสังขารนี้ให้ได้

ไม่ให้จิตไปติดในปีติในสุขเป็นจิตตสังขารขึ้น

คอยพรากจิตออกจากความติดใจยินดี ความเพลิดเพลินยินดีอยู่ในปีติในสุข

ปีติสุขบังเกิดก็ให้บังเกิดไป ไม่ต้องไปห้ามปราม

แต่ว่าคอยระวังไม่ให้มาเชื่อมเข้ากับจิต ไม่ให้จิตไปติดปีติ สุข

ดั่งนี้ เป็นการปฏิบัติในขั้นที่ ๔ อันเกี่ยวกับเวทนา ก็คือรำงับจิตตสังขารเครื่องปรุงจิต

ปัจจัยให้เกิดตัณหา

ในปฏิจจสมุปบาทนั้นได้มีแสดงว่า เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก

และในพระสูตรหลายพระสูตรก็มีแสดงว่า สุขเวทนานี้เป็นที่ตั้งของราคะคือความติดใจยินดี

เพราะฉะนั้น โดยปรกติกิเลสกองตัณหากองราคะ จึงบังเกิดสืบมาจากเวทนานี้เอง

ที่เป็นตัวสุขเวทนา ถ้าหากว่าไม่มีสุขเวทนาแล้วตัณหาหรือราคะก็จะไม่บังเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น ความเชื่อมต่อระหว่างขันธ์กับกิเลสจึงอยู่ที่เวทนานี้เอง

คือตัวสุขเวทนาก็เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาราคะ หรือเป็นที่ตั้งของตัณหาราคะ

ก็เพราะเหตุว่าไม่ได้ทำสติปัฏฐาน คือไม่ได้ปฏิบัติสติที่จะรู้จักระงับจิตตสังขาร

ที่จะระงับที่จะพรากสุขเวทนาจากจิต มิให้จิตไปติดบังเกิดเป็นตัณหาเป็นราคะขึ้น

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติในขั้นที่ ๔ ของเวทนานี้จึงเป็นขั้นสำคัญ

และก็เป็นเรียกว่าขั้นที่สุดของขั้นเวทนานุปัสสนา

และในขั้นที่สุดของเวทนานุปัสสนานี้ ก็อย่าไปคิดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญ

ดังที่กล่าวแล้วคือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นความเชื่อมต่อระหว่างขันธ์กับกิเลส

ถ้าหากว่ามีสติมาคอยระงับได้ในขั้นนี้ คือระงับจิตตสังขารได้ในขั้นนี้แล้ว

กิเลสก็จะไม่บังเกิดขึ้นเพราะสุขเวทนา สุขเวทนาก็บังเกิดขึ้นไปตามธรรมดาของสังขาร

ทุกขเวทนาก็บังเกิดขึ้นตามธรรมดาของสังขาร

แต่ว่าเมื่อมีสติมาตั้งอยู่ตรงนี้ก็จะทำให้เวทนานี้ไม่ไปเป็นปัจจัย

ให้บังเกิดกิเลสเป็นตัณหาเป็นราคะไปต่างๆ

เพราะฉะนั้นขั้นนี้จึงเป็นขั้นสำคัญ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องรำลึกถึง

และตั้งใจหัดที่จะคอยแยกจิตมิให้ไปติดในปีติในสุข ซึ่งรวมเป็นตัวสุขเวทนานี้

ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

 

ดาวน์โหลดตัวอักษร (ฟ้อนต์) ทิเบตทั้ง ๓ แบบ เพื่อความสมบูรณ์ในการชมเว็บ

actisan.ttf

adtibet.ttf

atibet.ttf


uptime alert service

website monitor

View My Stats