พุทธศาสนาในประเทศจีน

          นักโบราณวิทยาได้วินิจฉัยว่าชนชาติจีนอาจจะเป็นพวกเดียวกับพวกเผ่าอัคกาเดียน ซึ่งเป็นพวกที่มีภูมิลำเนาอยู่ในลุ่มแม่น้ำไทกิล กับ ยูเฟติสซึ่งอยู่ในดินแดนที่เรียกกันว่าเมโสโปตาเมีย หรือที่เรียกกันว่าเอเชียไมเนอร์  ทั้งนี้ทำไมถึงวินิจฉัยว่าจีนเป็นพวกเดียวกับพวกเผ่าอัคกาเดียน เขาก็สันนิษฐานจากตัวอักขระ คืออักขระตัวเขียน พวกเผ่าอัคกาเดียนมีลักษณะเป็นฟอร์มแบบเดียวกับตัวอักษรจีน ซึ่งต้นรากเดิมทีก็เกี่ยวกับเรื่อง เป็นตัวอักษรรูปภาพ เช่นอย่างว่าจะเขียนตัวเกี่ยวกับพระอาทิตย์ ก็เขียนเป็นตัวกลมๆแล้วข้างในก็เป็นจุดแสดงให้เห็นว่านี่เป็นพระอาทิตย์  เพราะพระอาทิตย์นั้นตามหลักดาราศาสตร์ก็ถือว่ามีจุดดำในดวงอาทิตย์เหมือนกัน เพราะเหตุนั้นตัวจีนที่เขียนเป็นสัญลักษณ์ของพระอาทิตย์ ก็มีลักษณะแต่ทว่าได้ดัดแปลงจากวงกลมๆอันเป็นอักขระในชนชาติอัคกาเดียนมาเป็นสี่เหลี่ยมแล้วข้างในก็ได้ตัวจุดนั้นก็เขียนขีดขวางไปขีดหนึ่ง ออกเสียงว่า ยิก ในภาษาแต้จิ๋ว ออกเสียงในภาษาจีนกลางว่า ยื่อ อย่างนี้ เนื่องจากการวินิจฉัยตัวอักขระของจีนโบราณในสมัยที่ยังเป็นรูปภาพ  สัญลักษณ์แทนความหมายอยู่ ใกล้เคียงกับตัวอักขระโบราณของชนชาติอัคกาเดียนนี่ประการหนึ่ง  

          อีกประการหนึ่งชนชาติอัคกาเดียนนั้นเป็นชาติชมชอบที่สร้างกระโจมอยู่  เป็นพวกพเนจรเลี้ยงปศุสัตว์ ในทุ่งหญ้าแห่งเอเชียไมเนอร์  เพราะฉะนั้น  ลักษณะการสร้างเต็นหรือสร้างกระโจมของชาวอัคกาเดียนนี้ชาวจีนก็ถ่ายแบบมาลักษณะหลังคาลูกฟูกบ้าง จีนโบราณจีนโบราณหลังคาเตี้ยๆ ชายคาเกือบจะติดดิน อย่างนี้เป็นลักษณะของซากั๊กเต้ง วิวัฒนาการมาจากกระโจมหรือเต็นของจีนในสมัยก่อน นี่เป็นลักษณะที่ 2 ซึ่งเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ ชนชาติอัคกาเดียนกับชนชาติจีนมีโรคภัยไข้เจ็บที่ใกล้เคียงกัน นี่เป็นประการที่3

          ประการที่ 4 เกี่ยวกับเส้นทางเดินวัฒนธรรมของจีน ปรากฏว่าในพงศาวดารจีนก็เล่าว่าพวกของเขาเดินอพยพมาจากทิศตะวันตก จากที่ราบสูงทางทิศตะวันตกของจีน แล้วก็เดินตามลุ่มแม่น้ำเหลืองมุ่งมาทางตะวันออก  คนโบราณการอพยพมีสองพวกด้วยกัน พวกหนึ่ง แยกไปทางตะวันออก พวกหนึ่งแยกไปทางตะวันตก  สังเกตได้ว่าพวกที่ยกไปทางทิศตะวันออกนี้ มีมาก เพราะคนโบราณถือตามอาทิตย์อุทัยว่าเป็นสัญลักษณ์ของศิริมงคล  เป็นความสว่างไสวของชีวิต เพราะฉะนั้นการจะทำอะไร การจะเดินทางไปไหนก็มักจะถือดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์มุ่งตะวันออกมาเป็นส่วนมาก  ในชาวอารยันก็ถือดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ส่วนใหญ่อพยพมาทางตะวันออก       ชาวอัคกาเรียนก็เหมือนกันคงจะมีสมัยใด สมัยหนึ่งเกิดความอัตคัดแล้งแค้นหรือเกิดสงครามที่ชนชาติอื่นที่เจริญขึ้นมาเบียดเบียน ทำให้ชนเผ่านี้ต้องแยะย้ายอพยพหลบภัยหรือขยับขยายหาที่ทำเลหากินใหม่  เพราะเหตุนั้นจึงมีอัคกาเดียนสาขาหนึ่ง รวมเอามงโกเลีย รวมเอาแมนจูเรีย แล้วก็รวมเอาซินเกียงหรือเตอร์กีสถานจีนสาขาหนึ่ง แล้วรวมเอาทิเบตจึงเป็นประเทศใหญ่โตอย่างนั้น ถ้าตัดประเทศของชนเผ่าอื่นไปแล้วลำพังจีนแท้ๆ คิดเอาเนื้อที่บริเวณลุ่มแม่น้ำเหลืองกับแม่น้ำแยงซีเกียงแล้วจีนก็ไม่ถึงขนาดว่าใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 25 เท่าหรอก อย่างมากก็ใหญ่กว่ากัน 10กว่าเท่า เท่านั้นเอง ที่ว่าใหญ่ถึง 25 เท่าเพราะไปรวมเอาดินแดนดังกล่าวมาจากชนชาติอื่นๆเขา

          เมื่อชนชาติจีนอพยพเข้ามาตั้งมั่นอยู่ในภาคตะวันตกของจีนเดี๋ยวนี้ในทางประเทศจีนแท้เดี๋ยวนี้คือบริเวณสองฝั่งของแม่น้ำเหลืองกับแม่น้ำแยงซีเกียงไม่ใช่เป็นที่รกร้างว่างเปล่าแต่ทว่าเป็นดินแดนที่มีเจ้าของอยู่แล้วเต็มที่ เจ้าของเดิมในท้องถิ่นเหล่านี้ก็คือคนไทยเรา แล้วก็พวกแม้ว พวกมูเซอร์ พวกกระเหรี่ยง พวกจีนจิ้น ชาวแม้วพวกหนึ่งในพม่าเดี๋ยวนี้ ภูมิลำเนาเดิมอยู่ในจีนแท้ คนเหล่านี้ศิลปะอารยะธรรมสู้พวกที่มาใหม่ไม่ได้ เพราะพวกที่มาใหม่ได้รับความเจริญอย่างสูง ในลุ่มแม่น้ำเอเชียไมเนอร์ซึ่งเป็นดินแดนโบราณมีความเจริญราวๆหมื่นปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อชนชาติเหล่านี้สู้พวกที่มาใหม่ไม่ได้ ก็ถูกพวกที่มาใหม่รุกราน พ่ายแพ้ไป ที่ไม่ยอมพ่ายแพ้อยู่ต่อไปก็ถูกกลืนกลายเป็นชาวจีนไป เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ตลอดระยะประมาณก่อนพุทธศกราวๆ 5000 ปี

ประวัติศาสตร์จีนได้เริ่มบทที่หนึ่ง เมื่อก่อนพุทธศกประมาณห้าพันปี จีนเชื่อถือกันอย่างนั้น แต่ว่าข้อเท็จจริงแล้วถ้าว่ากันตามเนื้อหาทางโบราณคดีเอาเป็นมั่นเหมาะก็ราวๆก่อนพุทธกาลประมาณสัก2000ปี คือ4000ปี มานี่เอง ได้เริ่มมา 4000 กว่าปี ก็เก่าแก่พอๆกับพวกอารยันที่อพยพเข้ามาอินเดียในสมัยพระเวท พอๆกัน ในสมัยนั้นเกือบจะเรียกได้ว่า เป็นสมัยที่มนุษย์ในโลกนี้มีการถ่ายเทอพยพกันเป็นการโกลาหลเป็นการใหญ่ทีเดียว จากเหนือมาใต้ จากใต้ไปเหนือตะวันออกไปตะวันตก ตะวันตกไปตะวันออก ราวกับได้นัดกันหาทำเลหากินกันเป็นการใหญ่

ศาสนาดั้งเดิมที่พวกจีนพาเข้ามาได้แก่ศาสนาพระสุริยะเทพ บูชาพระอาทิตย์ แล้วก็บูชาเทวดาประจำธรรมชาติ พวกเทวดาประจำดินฟ้าอากาศความเปลี่ยนแปลงต่างๆ นี่เป็นศาสนาดั้งเดิมของคนในสมัยโบราณทุกเผ่าทุกภาษาก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด   เพราะว่ายังหากฎเกณฑ์อธิบายข้อเท็จจริงในธรรมชาติไม่ได้  เมื่อมาเมืองจีนแล้วไม่ช้าก็สร้างวัฒนธรรมบ้านเมืองเป็นหลักเป็นฐานขึ้น ราชวงศ์กษัตริย์จีนโบราณที่เชื่อถือได้เป็นหลักฐานก็คือราชวงศ์แห่ ก่อนหน้าราชวงศ์แห่ขึ้นไปไม่มีอะไรเป็นหลักฐาน  ที่ว่าราชวงศ์แห่เป็นหลักฐานนะ ราชวงศ์แห่เกิดก่อนพุทธกาลประมาณ1000 ปีเศษ  เขาค้นพบพวกคำจารึก  คำจารึกเหล่านี้จารึกอยู่บนกระดูกสัตว์  สมัยนั้นยังคิดกระดาษไม่ได้ คำจารึกบนกระดูกสัตว์ เช่น กระดูกหมู กระดูกกวาง แล้วก็กระดองเต่า ข้อความจารึกเกี่ยวกับคำพยากรณ์ ของโหราจารย์ประจำราชสำนักต่างๆ  เบ็ดเสร็จรวมหมดที่เขาขุดพบแล้วประมาณแสนกว่าชิ้นด้วยกัน  ซึ่งเมื่อเอากระดูกแสนกว่าชิ้นนี้มาประติประต่อเข้าก็ได้พอเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนสมัยหนึ่งพันก่อนพุทธกาลได้เป็นอย่างดี 

ถัดจากราชวงศ์แห่ลงมาราชวงศ์โบราณอันดับสองคือราชวงศ์เซียง  ซึ่งเป็นราชวงศ์ก่อนพุทธกาลอีกเหมือนกันแล้วก็ราชวงศ์อันดับสามคือราชวงศ์จิว  ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่เกิดก่อนพุทธกาล แล้วก็หมดสิ้นลงเมื่อพุทธศกล่วงแล้วสามร้อยปีเศษ  ราชวงศ์จิวมีอายุยืนอยู่ประมาณ 800 ปี ประมาณ 8 ศตวรรษด้วยกัน ในสมัยราชวงศ์จิวนี้  ประเทศจีนก็มีขอบเขตเป็นเมืองจีนอย่างที่เราเห็น  หมายความว่าอำนาจของจีนได้แผ่ขยายล้ำลงมาถึงแม่น้ำแยงซีเกียง  ขับไล่พวกเจ้าของถิ่นให้ถอยร่นมาทางยูนานเป็นอันมาก แล้วก็ยึดครองบริเวณสองฝั่งของแม่น้ำเหลืองกับแม่น้ำแยงซีเกียงไว้ สร้างเป็นประเทศขึ้นมา

ในตอนนี้ละครับที่ว่าเป็นยุคทองแห่งความคิดอ่านของชาวจีน  ได้วิวัฒนาการจากความเชื่อในเทวะธรรมชาติ มาเป็นความเชื่อในทางหลักปรัชญา จึงได้มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตเกิดขึ้นในครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นอันมาก  แล้วก็ประหลาดที่นักปราชญ์ราชบัณฑิตเหล่านี้  เกิดพ้องกับพุทธสมัยด้วย อาทิเช่น ท่านขงจื้อ เหล่าจื้อ เป็นอาทิ แปลกที่ว่าพวกขงจื้อพวกนี้ได้กล่าวถึงพระพุทธองค์ของเราอย่างประหลาด  ขงจื้อเกิดก่อนพระพุทธเจ้านิพพาน 8 ปี คือพูดง่ายๆว่าเมื่อขงจื้ออายุ 8 ขวบ พระพุทธเจ้าของเราดับขันธปรินิพพาน เหล่าจื้อแก่กว่าขงจื้อประมาณ 20 กว่าปี เหล่าจื้อนักปราชญ์อีกคนหนึ่ง ก็ตีเสียว่าเมื่อพระศาสดาของเราทรงมีพระชนมายุได้ 60 เศษเหล่าจื้อก็เกิด แสดงว่าเป็นหนุ่มในสมัยพุทธกาล ส่วนขงจื้อเป็นเด็กในสมัยพุทธกาล เป็นเด็ก 8 ขวบอยู่ เมื่อพ้นพระพุทธกาลไปแล้ว เวลานั้นจีนกับอินเดียยังไม่มีการติดต่อมีสายสัมพันธ์กัน

แต่ว่าครั้งหนึ่ง ได้มีนักปราชญ์คนหนึ่ง ถามศาสดาขงจื้อว่า ท่านอาจารย์เป็นบรมปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หรือ ขงจื้อตอบว่า ฉันไม่ใช่บรมปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หรอก ฉันเป็นเพียงแต่เป็นคนที่ใคร่ในการศึกษา และมีการสดับตรับฟังมากเท่านั้น ไม่ยอมรับเป็นบรมปราชญ์ ผู้ถามก็ถามต่อว่า ถ้ายกท่านอาจารย์เสีย ซำอ๊วง ซำอ๊วงในที่นี้ก็คือจักรพรรดิจีนโบราณที่ดำรงทศพิธราชธรรม 3 พระองค์ เป็นจักรพรรดิในนิยายที่ถือว่าปกครองราษฎรด้วยความสันติสุขอย่างยิ่ง ท่านทั้งสามเป็นบรมปราชญ์ได้ไหม ขงจื้อตอบบอกว่ายังไม่ได้ ท่านทั้งสามเป็นเพียงแต่ผู้ที่มีความเมตตากรุณาปกครองราษฎรโดยธรรมเท่านั้นเอง ผู้ถามก็ถามบอกว่า ยกซำอ๊วงเสีย โหง่วตี่ จักรพรรดิอีก 5 พระองค์ โหง่วตี่ว่าตามเสียงแต้จิ๋ว ถ้าเสียงจีนกลางต้องออกเสียงว่าอู่ตี้ นอกจากซำอ๊วงยังมีโหง่วตี่คือพระราชาอีกห้าพระองค์ในอดีต ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีทศพิธราชธรรมอย่างเอกอุนั้นละ สมควรแก่การยกย่องเป็นบรมปราชญ์ไหม ขงจื้อก็บอกยังไม่สมควร ท่านทั้งห้านั้นเป็นเพียงแต่ นักปกครองอันยิ่งใหญ่ที่มีสติปัญญาสูงเท่านั้นเอง ผู้ถามก็งง ถ้าอย่างนั้นท่านอาจารย์จะเห็นท่านผู้ใดที่สมควรแก่การยกย่องว่าเป็นบรมปราชญ์ละ ขงจื้อนิ่งอื้งไปครู่ใหญ่ คล้ายตรึกตรองแล้วก็กล่าว่า ตัวของฉันได้ยินมาว่า ในทางประเทศทางตะวันตกถัดจากเมืองจีนออกไปมีท่านผู้หนึ่งอุบัติขึ้น ท่านผู้นี้สั่งสอนประชาชนโดยไม่ต้องใช้อาชญาแต่ประชาชนก็ยินดีน้อมรับปฏิบัติ  ว่างั้น  ท่านผู้นี้ได้ยังสันติสุขให้เกิดขึ้นแก่หมู่ชนมากหลาย โดยที่ไม่ต้องใช้พระเดชบังคับบัญชาใดๆทั้งสิ้นแต่ประชาชนก็ยินดีจะปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้น ท่านผู้นี้แหละควรแก่เกียรติยกย่องว่าเป็นบรมปราชญ์ของโลกได้

เพราะฉะนั้นจากถ้อยคำตอบของขงจื้อนี้  นักปราชญ์รุ่นหลัง จึงมานิยามบอกว่าจะหมายถึงผู้ใด ประเทศตะวันตกถัดจากเมืองจีนก็คืออินเดียไม่ใช่เมืองไหนเลย และก็ขงจื้อเรียกว่าเกิดร่วมพุทธสมัยได้ เป็นเด็กในสมัยพุทธกาลได้ เพราะฉะนั้นบรมปราชญ์ก็ไม่ใช่ใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ที่ว่าสอนประชาชนโดยไม่ต้องใช้อาชญาแต่ประชาชนก็ยินดีปฏิบัติตาม อย่างนี้ก็คือพระพุทธเจ้า เพราะเป็นยุคทองในอินเดียที่พระองค์ทรงพระชนม์ชีพสั่งสอนสัตวโลกอยู่ นี่แหละครับเป็นกระเซ็นกระสายที่ชาวจีนจะรู้จักพระพุทธองค์จะรู้จักโดยทางใดก็วินิจฉัยไม่ออก เพราะเวลานั้นความสัมพันธ์ทางการทูตหรือการคมนาคมระหว่างสองประเทศนี้ยังไม่เกิดขึ้น ขงจื้ออาจจะได้ยินจากคำเล่าลือ ซึ่งพูดเล่าลือกันต่อๆกันมา เป็นกิติศัพท์ที่โด่งดังข้ามประเทศเข้าก็ได้ ที่มีเสียงประชาชนสดุดีพระพุทธองค์ว่าทรงคุณธรรมอย่างนั้นอย่างนั้น ขงจื้อก็ได้ยิน และเนื่องจากขงจื้อมีบุคลิกไม่จองหองพองขน ไม่มีมานะทิฐิถือว่าตัวเป็นปราชญ์เป็นคนถ่อมตัวเหลือเกิน เป็นคนถ่อมตัวอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีกีดกัน พูดตามความเป็นจริงและยกย่องตามความเป็นจริงว่าใครเป็นปราชญ์หรือไม่เป็นปราชญ์ นี่เป็นลักษณะบุคลิกของขงจื้อ

ชาวจีนก่อนที่พุทธศาสนาจะแพร่เข้าไป  เขามีวัฒนธรรมและปรัชญาคำสั่งสอนที่ลึกซึ้งอยู่มากแล้ว เขาเป็นชาติที่เจริญมากแล้ว มีความเย่อหยิ่งภาคภูมิในมรดกของตนเองอย่างยิ่ง จนถือว่าประเทศของเขาเป็นโลกเป็นใต้หล้าซึ่งในภาษาวรรณคดีใช้คำว่าเทียนเซีย ในภาษาจีนกลาง แต้จิ๋วออกเสียงว่า เทียงเหีย ถือว่าประเทศของเขาเป็นประเทศในใต้สรวงสวรรค์ในบังคับบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า  ส่วนประเทศอื่นๆซึ่งเป็นนอกเขตไม่ใช่จีนแล้ว ก็ถือว่าเป็นประเทศของคนโยง คนที่ยังเป็นอนารยะ ถ้าจะเทียบก็พวกอารยันเท่านั้นที่มีความยิ่งผยองในชาติกุลของตน ถือว่าเป็นชาติเจริญ ส่วนชนชาติอื่นนั้นถือเป็นพวกคนโยง หรือไม่ก็เป็นพวกคนป่าคนดอยไปเลยทีเดียว ตรงกันอย่างนี้  เพราะว่าสองชาตินี้ เป็นชาติเจริญอย่างยิ่งของเอเชียตะวันออก  ในสมัยโบราณ คำสอนทางปรัชญาและลัทธิศาสนาของจีนในยุคก่อนที่พุทธศาสนาจะแพร่เข้าไปก็มีคำสอนของท่านขงจื้อ กับท่านเหล่าจื้อเป็นเครื่องกล่อมเกลาจิตใจของประชาชน คำสอนทั้งนั้นก็เข้ากันได้กับหลักธรรมในพุทธศาสนา คำสอนของขงจื้อเป็นไปในทางทิศธรรมิกถประโยชน์   ส่วนคำสอนของเหล่าจื้อหนักไปในทางสัมปรายยิกถประโยชน์  เจ้าลัทธิทั้งสองได้สอนธรรมะที่เป็นทิศธรรมิกถ กับ สัมปรายิกถไว้แล้ว

(ไฟต์เสียงมาอย่างนี้รู้สึกจะไม่ต่อเนื่องกัน)

          พระในแคว้นคันธราษฎร และพระองค์ได้ยกกองทัพข้ามเทือกเขาคีรีกูฏตีเข้าไปในเตอร์กีสถานของจีนเดี๋ยวนี้ ตีได้แคว้นโขนตาน ยารการแผ่อำนาจถึงทะเลสาบปิกซิกุน ทะเลสาบปิกซิกุนเวลานี้ก็ยังอยู่ อยู่ในเตอร์กีสถานเป็นทะเลสาบมองไม่เห็นขอบเขตอีกฝั่งหนึ่ง คล้ายทะเลสีน้ำเขียวคราม คลื่นแต่ละลูกสูงหลายฟุตทีเดียว  เพราะฉะนั้นเมื่อพวก นเรไฟเชียน นับถือพุทธศาสนาเมื่อตีได้บ้านใดเมืองใดก็แผ่พุทธศาสนาไปด้วย พระเจ้ากนิษกะเองก็ได้ส่งธรรมทูตออกไป ในการแผ่พุทธศาสนาให้แก่ชนชาติต่างๆในเตอร์กีสถาน อันนี้แหละ เตอร์กีสถานจึงได้เป็นจุดประสานระหว่างวัฒนธรรมจีนกับอินเดีย เมื่อพระเจ้ากนิษกะสิ้นพระชนม์ลง ประเทศจีนมีราชวงศ์ใหม่เกิดขึ้นเรียกว่าวงศ์ฮั่น

          ราชวงศ์ฮั่นปฐมกษัตริย์คือพระเจ้าฮั่นโกโจฮ่องเต้ ตั้งราชวงศ์ฮั่นขึ้น กษัตริย์สืบต่อมาในรัชสมัยพระเจ้าฮั่นอ้ายเต้  ฮั่นบูเต้ ซึ่งเป็นเวลาที่จักรวรรดิจีนกำลังแผ่อานุภาพไปยังเตอร์กีสถานอยู่จีนได้สัมผัสกับวัฒนธรรมอินเดียโดยผ่านพวกพ่อค้าชาวเตอก ชาวเตอร์กีซึ่งเดินทางไปค้าขายยังจีนกับอินเดีย พ่อค้าชาวเตอร์กีนี่แหละครับได้นำกิติศัพท์ของพุทธศาสนามาเล่าให้ชาวจีนฟัง ว่าบรรดาชนชาติต่างๆในเอเชียกลางถัดออกไปจากเมืองจีนนั้น  ล้วนแต่เป็นชาวพุทธทั้งนั้นและก็นับถือรูปเคารพที่สร้างด้วยทองเป็นพระพุทธรูป นับถือมาก และชาวจีนก็ได้เอารูปเคารพคือพระพุทธรูปนี้ไปเมืองจีนด้วยแต่ยังไม่รู้จักว่าเป็นรูปของท่านผู้ใดมีประวัติมาอย่างไร เป็นเพียงแต่นำไปในฐานะว่าเป็นเครื่องราชบรรณาการให้กับกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น ว่ารูปนี้แหละชนชาวถิ่นต่างๆในทางตะวันตกเคารพกันมาก ก็คือพระพุทธรูป

ตามตำนานเล่าบอกว่า ในสมัยต่อมา คืนหนึ่ง ในสมัยตังฮั่น พระเจ้าฮั่นมิงตี่ ซึ่งเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์ตังฮั่น ทรงสุบินนิมิตไปหรือพระพุทธรูปทองคำลอยมาเหนือพระราชมนเฑียรแล้วพอตื่นบรรทมก็เรียกโหรหลวงพยากรณ์ว่าจะเป็นนิมิตดีหรือนิมิตร้าย แล้วก็บอกว่านั่นแหละเป็นรูปของศาสดาชาวตะวันตกเขาให้ส่งราชทูตไปสืบ แล้วพระองค์ก็ส่งราชทูตจีนออกไปสืบ พุทธศาสนา  ทูตจีนเดินทางมาถึงอินเดียตอนเหนือมาถึงแคว้นคันธาราษฎร์แล้วก็มาพบกับพระเถระชาวอินเดียเหนือ 2 รูป องค์หนึ่งชื่อว่าธรรมรักษ์ องค์หนึ่งชื่อว่ากาศยปะมาตังคะ  ก็นิมนต์ท่านธรรมทูต 2 รูปนี้ไปเมืองจีน  เป็นพระสงฆ์ชุดแรกที่เดินทางไปเมืองจีน   เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นราวๆ ต้นศตวรรษที่ 6 แห่งพุทธปรินิพพาน พ.ศ.600 เศษ ได้แพร่เข้าไปในประเทศจีน  เมื่อแพร่เข้าไปในประเทศจีนใหม่ๆ นั้น ประชาชนชาวจีนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าเป็นศาสนาอะไร  มีคำสั่งสอนอย่างไร เพราะว่ารากฐานแตกต่างกันเหลือเกิน   ภาษาสันสกฤตก็แสนจะยาก และหาล่ามที่จะรู้อรรถรสของภาษาจีนภาษาสันสกฤต มีภูมิรู้ดีพอที่จะแปลถ่ายทอดพระคัมภีร์ก็ไม่ได้  เพราะฉะนั้น  ในสมัยแรกงานที่จะต้องทำก็คือ เรียบเรียงพุทธพจน์  ที่สำคัญที่เหมาะกับ่ชาวจีนออกมา ก็ปรากฏว่าท่านทั้งสองนี้ได้ช่วยกันเรียบเรียงพุทธพจน์จากคัมภีร์ธรรมบทเป็นส่วนใหญ่  ได้สี่สิบสองบทด้วยกัน ส่วนใหญ่สี่สิบสองบทนี้ก็คัดมาจากคัมภีร์ธรรมบท  เอามาแปล  การแปลต้องผ่านล่ามหลายปาก   คือท่านว่าจากภาษาสันสกฤต  ว่าเป็นภาษาอินเดียง่ายๆ  และก็ให้พ่อค้าชาวเตอรกีซึ่งค้าขายระหว่างเมืองจีนกับอินเดียนั้นฟัง   พ่อค้าเตอรกีฟังแล้วก็แปลเป็นภาษาเตอรกีออกมา  เมื่อเป็นภาษาเตอรกีแล้ว คนจีนที่ฟังภาษาเตอรกีออกฟัง  ฟังแล้วก็พูดเป็นภาษาจีนออกมา ให้นักปราชญ์จีนจด  เพราะฉะนั้นมันหลายปากเหลือเกิน  จะให้แปลอย่างถูกต้องกับต้นฉบับเดิมก็เห็นจะยาก  แปลเป็นหลายปากอย่างนี้ แต่ถึงกระนั้นก็อุตส่าห์เข็นเป็นเล่มออกมาจนได้  ดีกว่าไม่แปลเสียเลย  ภาษาจีนให้ชื่อว่า ซื่อสือเอ้อซานซิน ถ้าจะว่าเป็นภาษาแต้จิ๋ว ก็เรียกว่า สี่จับยี่เกียงเต็ง แปลว่าพระสูตรที่ว่าด้วยพุทธพจน์สี่สิบสองบทด้วยกัน  เป็นปฐมคัมภีร์พุทธศาสนาเล่มแรก ซึ่งได้พิมพ์ขึ้นในเมืองจีน 

ตอนนี้ก็อยากจะเล่าว่าไอ้เรื่องที่ว่าพิมพ์หนังสือนั่นนะ  จีนเป็นชาติแรกที่ผลิตกระดาษได้  แล้วที่ผลิตกระดาษก็เป็นคนในสมัยราชวงศ์ฮั่น  เพราะฉะนั้น เมื่อตอนนี้แหละได้มีกระดาษใช้แล้ว  ก็ใช้วิธีเขียนด้วยหมึกจีน  จีนคิดและประดิษฐ์กระดาษ หมึกตั้งสองพันปีมาแล้ว  เพราะฉะนั้นการใช้หมึกจีนเขียนในกระดาษจึงเป็นของง่าย กระดาษจีนสมัยแรกก็คล้ายๆกระดาษฟางที่เราใช้เข้าส้วมนั่นแหละ  เป็นกระดาษทำจากเปลือกไม้ไผ่มาทำกันเข้าแล้วก็กลายเป็นกระดาษ กระดาษฟางนี่ใช้กันพันกว่าปีมาแล้ว ต่อมาก็ใช้หมึกจีนเขียน  แล้วหมึกจีนนี่ก็แปลกทนเหลือเกิน  เพราะฉะนั้นเวลานี้เราเอาหมึกจีนไปเขียนตามร้านเย็บเสื้อตัดเสื้อ บางแห่งเขียนเบอร์ เพื่อไม่ให้สับสนในเรื่องเสื้อผ้า  ต้มก็แล้ว อมแฟ๊ปก็แล้ว ซักก็แล้ว  ไม่จางง่ายๆ  ทนชะมัดเลย  น้ำหมึกธรรมดาในปัจจุบันนี้ ใส่แฟ๊ปนิดเดียวก็เลือนรางหมดไปแล้ว  เราเห็นได้ว่าแปลกมากเลย คนที่คิดหมึกจีนออกมาได้ สามารถคงทนได้ถึงเดี๋ยวนี้  ต้องใช้เขียน การตีพิมพ์ยังไม่มี ต้องใช้วิธีลอกกัน  จากคนหนึ่งลอกไปอีกคนหนึ่ง แพร่หลายด้วยวิธีลอก แล้วก็เย็บเล่มโดยใช้ด้ายเย็บออกมาแพร่หลาย

ตอนนั้น  กษัตริย์จีนที่ยอมรับพุทธศาสนาคือพระเจ้าฮั่นมิงติ่  จึงเรียกพระเจ้าฮั่นมิงตี่เป็นจักรพรรดิจีนองค์แรกที่เป็นชาวพุทธ  แต่ว่าพุทธศาสนาก็ยังแพร่หลายในหมู่ชนชั้นสูง  ในหมู่สามัญชนทั่วไปก็ยังไม่แพร่หลาย  ยังไม่รู้จักว่าพุทธศาสนาคืออะไร  แล้วก็วัดจีนวัดแรกที่พระเจ้าฮั่นมิงตี่โปรดให้สร้างขึ้น อยู่นอกเมืองราชธานีลกเอี๋ยง   ห่างจากเมืองลกเอี๋ยง ลกเอี๋ยงในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า หลั่วหยาง ซากของวัดนี้ ดูรู้สึกยังเหลืออยู่ หลังสงครามโลกครั้งที่สองนี้ยังเหลืออยู่  แล้วก็ให้ชื่อวัดนี้ในสมัยนั้น ชื่อว่าวัด ไป่ม่าซื่อ  แปลว่า วัดม้าขาว  ถ้าจะเปรียบศัพท์เป็นบาลีก็เห็นจะเป็นว่า เศสะอัศวรามได้กระมั่ง วัดม้าขาวนี่นะให้มั่นครื้มๆหน่อยว่า อย่างงั้น  ที่วัดนี้ ที่มีซากโบสถ์วิหารต่างๆที่สร้างในครั้งราชวงศ์ฮั่น 

แล้วก็ท่านธรรมรักษ์กับท่านกาศยปะมาตังคะ ก็จำพรรษาอยู่ที่วัดนี้  เวลานั้นการอุปสมบทอะไรไม่มีทั้งนั้น  ยังไม่มีใครบวชกัน  เพราะว่าศาสนายังไม่แพร่หลาย ศาสนามาแพร่หลายในสมัยเข้ายุคสามก๊ก  คือปลายราชวงศ์ฮั่นก็อำนาจศูนย์กลางของพระเจ้าแผ่นดินหมดลง  อำนาจได้ตกอยู่กับพวกขุนพลต่างๆ  แล้วก็ท่านทั้งหลายอ่านสามก๊กเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องว่าเรื่องกันมาก ว่าเมืองจีนแบ่งกันเท่าไหร่  ทางภาคใต้ก็มีซุนกวน  ทางเสฉวนก็มีเล่าปี่  ทางเหนือก็มีโจโฉ  เป็นสามก๊กด้วยกัน

ในสมัยสามก๊กนี่แหละ  พุทธศาสนาได้แพร่ในชีวิตประชาชนสามัญ  เพราะว่าประชาชนต้อง ได้รับการการทุกข์เข็ญจากการทำสงครามไม่เว้นแต่ละเดือน  ไม่พรากแต่ละปีได้รับความทุกข์ทนหม่นหมองเหลือเกิน  ทุกข์ทนก็ต้องเสาะแสวงหาที่พึ่งทางใจมาดับร้อน  และเวลานั้น ปรัชญาคำสอนของจีนไม่สามารถจะดับร้อนได้ เพราะเหตุว่าการทำสงครามกลางเมืองอย่างจีนตรียุคขณะนั้น  แสดงให้เห็นว่าคำสอนขงจึ้อใช้ไม่ได้แล้ว ไม่สามารถจะดึงใจพวกขุนพลและเอาชนะใจพวกนักปกครองทั้งหลาย ให้เข้ามาดำเนินตามครรลองแห่งธรรมะของขงจื้อได้ ทุกคนได้หันหลังให้กับคำสอนขงจื้อหมด  จึงได้ต้อนรับพุทธศาสนากันเหลือเกิน เห็นว่าต้องการจะหาคำสอนใหม่ที่จะสามารถดับความทุกข์ร้อนทางใจได้  แล้วก็มาพบพระพุทธศาสนา  เพราะฉะนั้นประชาชนจึงหันมานับถือพุทธกันเป็นการใหญ่ทีเดียว  วัดวาอารามมีการสร้างเป็นการใหญ่ ทั้งในหัวเมือง ทั้งในชนบทต่างๆ ทั้งในเมืองหลวงมีการสร้างกันมาก 

แต่ว่าพุทธศาสนาก็ยังคงแพร่หลายไม่เกินตอนเหนือของแม่น้ำแยงซีเกียงขึ้นไป  ทางจีนใต้พุทธศาสนายังไม่ลงมาถึง  เพิ่งจะลงมาในสมัยชุนกวนที่ปกครองเมืองกังตั๋งนี้  พระคณาจารย์ที่นำพุทธศาสนามาจีนใต้นั้น  คือพระคันเจงหวย  พระคันเจงหวยผู้นี้ไม่ใช่เป็นพระจีนนะ  เวลานั้นพระจีนยังไม่มี แต่ว่าเป็นพระชาวเตอรกีที่รู้ภาษาจีนดี เดินทางธรรมจาริกจากเตอรกี มาเมืองจีนโดยทางทะเล  มาขึ้นที่  ตังเกี๋ย แล้วเดินบกจากตังเกี๋ย  โดยอ้อมอ่าวสยาม  เรียบๆฝั่งอินโดจีน มาขึ้นที่ตังเกี๋ย เดินทางจากตังเกี๋ยขึ้นไปทางกวางตุ้ง และไปพบซุนกวนที่เมืองกังตั๋ง เวลานั้นซุนกวนยังไม่นับถือพุทธ  ไม่เลื่อมใส  ทำท่าจะขับไล่ แล้วก็ท้าคังเจงหวยบอกว่า  ถ้าพุทธศาสนาดีจริงให้แสดงอภินิหารให้ดู  คังเจงหวยได้นำพระบรมธาตุมาองค์หนึ่ง  บอกว่าจะเอาพระบรมธาตุมาสร้างพระสถูปบูชาที่เมืองกังตั๋ง  ซุนกวนไม่อนุญาต บอกว่าให้ท่านคังเจงหวย อารธนาให้พระบรมธาตุแสดงปาฏิหาร์ให้ดู ถ้าพระบรมธาตุมีปาฏิหาร์จึงเชื่อแล้วจะรับนับถือพุทธศาสนา  คังเจงหวยก็  ทำพิธีอันเชิญพระธาตุให้แสดงอภินิหาร แล้วปรากฏว่าพระบรมธาตุนั้นได้แสดงอภินิหาร เปล่งแสงฉัพพรรณรังสีพลุ่งขึ้นมาจากภาชนะที่รองต่อหน้า  พระพักตร์พระเจ้าซุนกวน  พระเจ้าซุนกวนเห็นเข้าก็มีความปีติเลือมใส  ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ และโปรดให้สร้างสังฆารามแห่งแรกในเมืองกังตั๋ง วัดนี้ ชื่อเป็นภาษาจีนว่า เจี๋ยงชือซือ แต้จิ๋วออกเสียงว่า เกี๋ยงชอยี่  ถ้าจะแปลเป็นอย่างบาลีก็ต้องเรียกว่า  ปฐมสถาปนาราม  แปลว่าวัดที่ได้สถาปนาเป็นครั้งแรก  เป็นวัดวัดแรกที่สร้างในจีนใต้  เป็นวัดพุทธศาสนาวัดแรกที่สร้างในจีนใต้ ที่เมืองกังตั๋ง  ตั้งแต่นั้นมา พุทธศาสนาก็แพร่หลายทั้งใน จีนเหนือจีนใต้ มีประชาชนนับถือ แต่ว่าสังฆมณฑลยังไม่ได้ถูกสถาปนาขึ้นมา

จนกระทั่งหมดยุคสามก๊กแล้ว  เชื้อสายสุมาอี้ซึ่งเป็นขุนพลของโจโฉ  ได้ปลงชีวิตของซุนศรีตายลง พระเจ้าซุนศรีถูกขุนพลแซ่สุมาฆ่าตาย สุมาแปลตามพงศาวดารจีนเป็นไทยออกเสียงเป็นสุมา ถ้าออกเสียงตามต้นฉบับจีนหลวงแท้ออกเสียงซือหม่า เชื้อสายสุมาอี้ได้ปลงชีวิตพระเจ้าโจผีลง แล้วตั้งราชวงศ์จิ้นขึ้น โจผีเป็นเสียงฮกเกี้ยน ถ้าว่าตามจีนหลวงก็ออกเสียงเฉ่าพี อย่างโจโฉก็ออกเสียงเฉ่าเชา

ในสมัยราชวงศ์จิ้นนี้จีนปรากฏมีพระเถระชาวอินเดียขึ้นมา เดินทางจากอินเดียมาอีก ท่านผู้นี้คือท่านพระธรรมกาล เดินทางพร้อมกับคณะสงฆ์ชาวอินเดียมาเป็นคณะปรก ผูกพัธสีมามณฑลขึ้นที่นครลกเอี๋ยง ให้อุปสมบทบรรพชาแก่ชาวจีน เป็นภิกษุ  เป็นสามเณรถูกต้องตามวินัยะกรรมถูกอย่าง เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นราวๆศตวรรษาที่7หลัง พุทธปรินิพพาน เราก็จำง่ายๆว่า พระจีนเพิ่งจะมีกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่7 ในสมัยราชวงศ์จิ้น ผู้เป็นอุปฌายะองค์แรกคือธรรมกาล นำพระชาวอินเดียคณะหนึ่งมาเป็นคณะปรก สำหรับญัตติกุลบุตรชาวจีนให้เป็นพระขึ้นมา เป็นครั้งแรก ที่นี้ก็มีปัญหาว่าในการแปลคัมภีร์ก็ยังแปลกันอย่างต้องผ่านล่ามหลายปาก จะหาความถูกต้องตามอรรถะพยัญชนะก็คงจะยาก อาจมีอะไรบกพร่องบ้าง ไม่บกพร่องพยัญชนะ ก็บกพร่องทางอรรถะบ้าง เป็นไปเรื่อยๆมา

ถึงนี้26.10

จนกระทั่งต่อมามีเจ้าชายองค์หนึ่งเป็นเจ้าชายชาวอิหร่าน ชื่อว่าอันสิเกา แต่ว่าเลื่อมใสพุทธศาสนาได้ออกบวชเป็นคณาจารย์ลือชื่อ เรียนจบพระไตรปิฎกแตกฉานแล้ว เจ้าชายอันสิเกาองค์นี้ได้เดินทางมาเมืองจีน  ท่านผู้นี้พูดภาษาต่างประเทศได้ 34 ภาษา ภาษาท้องถิ่นต่างๆท่านพูดได้หมด รวมทั้งภาษาจีนด้วย เก่งมากเป็นอัจฉริยะ รวมทั้งภาษาจีนด้วย ท่านผู้นี้ไม่ต้องใช้ล่ามแปล แปลเวิคส์บายเวิคส์  คำต่อคำด้วยตัวของท่านเอง เพราะท่านแตกฉานในภาษามากมายเหลือเกิน ท่านผู้นี้ได้แปลคัมภีร์ต่างๆในพุทธศาสนาเป็นภาษาจีนกว่า 40 ปกรณ์ด้วยกัน ทำให้การศึกษาพระปริยัตติธรรมในสังฆมณฑลจีนดีขึ้น  แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สมบูรณ์ยังมีคัมภีร์ส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้แปล

ต่อจากราชวงศ์จิ้นต่อมาเมืองจีนก็แบ่งเป็นจีนเหนือจีนใต้อีก ที่แบ่งเป็นจีนเหนือ จีนใต้ก็เพราะว่ามีพวกเตอร์ก คือในทัศนะชาวจีนคือพวกคนป่า อพยพรุกรานข้ามกำแพงยักษ์เมืองจีนเข้ามารุกรานเมืองจีน   แล้วพวกเตอร์กพวกนี้ที่มาเมืองจีนล้วนแต่เป็นพวกนับถือพุทธมาก่อนทั้งนั้น  พวกนี้ได้ตั้งราชธานีปกครองจีน ยุคนี้เรียกว่ายุค น่ำ-ปัก  คือยุคประเทศจีนแบ่งเป็นประเทศเหนือ ประเทศใต้ ประเทศใต้มีราชวงศ์ตันจิ้น  ซึ่งเป็นเชื้อสายจากราชวงศ์ตันจิ้นไปปกครอง ทางเหนือแม่น้ำเหลืองขึ้นไปก็มีพวกเตอร์กซึ่งตั้งราชวงศ์แบบจีนปกครอง มีราชวงศ์งุ่ย ปกครองอยู่ และนี่แหละครับที่ว่าศิลปทางพุทธศาสนาเจริญมาก คือ

พวกงุ่ย พวกเตอร์ก เป็นชาวพุทธที่เคร่งครัด  แล้วก็พยายามส่งคนไปถ่ายพุทธศิลปะจากอินเดียมาสร้าง เช่นว่าถ่ายจากศิลปอชันตะ  ถ้ำเอโรละ ถ้ำพารหุส  ในอินเดีย มาเจาะภูเขาในเมืองจีน สร้างถ้ำพุทธศาสนาขึ้นมา ถ้ำที่ว่านี้ปรากฏอยู่ในมณฑลกานสงของจีน เมืองตุนหวง มณฑลกานสง เวลานี้เป็นทะเลทราย เป็นเทือกภูเขายาวเหยียด ระยะทางประมาณยี่สิบกว่ากิโลเมตร ภูเขาเทือกอันยาวยี่สิบกว่ากิโลเมตรนี้เป็นถ้ำหมดเกิดจากฝีมือมนุษย์  ซึ่งศรัทธาในพุทธศาสนาเจาะเข้าไป แล้วแต่ละถ้ำนั้น ได้มีภาพจิตรกรรมในพุทธศาสนา เขียนเรื่องพุทธประวัติบ้าง เขียนเรื่องเวสสันดรชาดกบ้าง เขียนเรื่องชาดกต่างๆบ้าง เขียนระบายสีอย่างสวยงาม ปรากฏอยู่  รวมหมดเบ็ดเสร็จเขาสำรวจแล้วมีประมาณ 5000 กว่าถ้ำด้วยกัน ถ้ำเล็กถ้ำใหญ่ ถ้ามองแต่ไกลคล้ายๆรวงผึ้งมหึมา  ใหญ่โตสุดหล้าฟ้าเขียนทีเดียว แต่เมื่อมองใกล้ถึงจะรู้ว่าเป็นถ้ำ ถ้ำก็ใหญ่ เป็นห้องโถง คล้อยท้องพระโรงทีเดียว บ้างถ้ำก็เล็กขนาดคนคลานเข้าไป แต่ถึงกระนั้นภายในก็ยังอุตสาห์มีภาพจิตรกรรมได้เขียนเอาไว้ 

และนอกจากจิตรกรรมแล้วยังมีภาพปูนปั้นอีก ภาพดินปั้นนี้เป็นเป็นพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์มากมายก่ายกอง มีตั้งเป็นหมื่นๆองค์ ปั้นองค์เล็กองค์น้อย ล้วนแต่เป็นภาพที่งดงามหมด  เหล่านี้ ถ้ำพวกนี้ก็เกิดจากแรงศรัทธาของพุทธมามะกะในจีนเหนือ ได้อุทิศสร้างไว้  แต่ละถ้ำใครเป็นเจ้าของสร้าง เขาได้เขียนจารึกวันเดือนปี จารึกคำอธิษฐาน ของผุ้ได้บริจาคทรัพย์ให้จิตรกรวาด อุทิศส่วนกุศลที่ได้สร้างถ้ำ ถ้ำนี้ให้กับท่านผู้นั้น หรือบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้วนั้นๆ คำจารึกเหล่านี้ เรียงรายเป็นหลักฐานในทางประวัติศาสตร์ สำหรับนักโบราณคดีไปสอบสวนทราบความเป็นมา ของประวัติจิตรกรรม และประวัติศิลปกรรมต่างๆ ในถ้ำเหล่านี้ขึ้นมา  และถ้ำเหล่านี้อัศจรรย์ตรงที่มีการสร้างเพิ่มเติมเรื่อยมา ตั้งแต่สมัยราชวงศ์งุ่ยก็ตกราวๆพ.ศ. 900 เศษ สร้างเรื่อยกันมาถึง สมัย พ.ศ.1800 ราชวงศ์หงวน ไม่ได้ขาดตอนเลย สร้างเรื่อยกันมา 

แต่เมื่อพ้น พ.ศ. 1800 แล้วอัศจรรย์ ภูเขาอัศจรรย์อันประกอบด้วยถ้ำมหึมานี้ ได้อันตธานไปจากความทรงจำของชาวจีน ทรายกลบหมด  ทรายในทะเลทรายโกบีหอบมากลบหมดเลย  ไม่มีใครรู้ว่าที่นี่มีถ้ำอันประกอบเต็มไปด้วยศิลปะเอกอุอยู่นี้ ไม่มีใครรู้  ทรายกลบหมด  กลบอยู่ถึง 500 กว่าปี ไม่มีใครไปค้นพบว่าที่นี้มีถ้ำอัศจรรย์อยู่  เมืองตุนหวงเป็นเมืองหน้าศึก  ในราชวงศ์หงวนแล้ว เมืองนี้ถุกข้าศึกรุกรานบ่อยๆ พลเมืองได้ทิ้งเมืองไป เมื่อพลเมืองทิ้งเมืองไปก็กลายเป็นเมืองร้าง เขาย้ายหนีไปที่อื่น กลายปีทีหน นานๆจึงจะมีคนผ่านมา เมื่อไม่มีใครผ่านมา ลมก็พัดเอาทรายจากทะเลทรายโกบีมาอุดเอาไว้ หนักเข้า ไม่มีใครรู้ว่าเป็นถ้ำ 

มารู้เมื่อราวๆ หกสิบกว่าปีมานี่เอง ที่รู้ เกิดจากเต้าหยินคนหนึ่ง เต้าหยินเป็นนักพรตในศาสนาเต๋าคนหนึ่ง แก่ไปเสาะหาที่วิเวกจะไปทำสมาธิ  แล้วก็มาในทะเลทรายแห่งนี้ ไปเจอเทือกภูเขานี้เข้า  ไปปัดกวาดทรายที่ถ้ำๆหนึ่ง อาศัยใต้ถ้ำอันนั้นอยู่  วันหนึ่ง แกจุดไฟ แล้วไฟตกมาลามไหม้ของ ไหม้หมดไฟก็ดับ  แกก็คุ้ยรอยไหม้นี่ออก คุ้ยทรายออก คุ้ยๆไปทำไมข้างในมีอากาศ  แสดงว่าข้างในต้องว่างนี่นา มีลมพัดออกมา แกก็อัศจรรย์ใจ ตอนนี้คุ้ยใหญ่เชียว คุ้ยอยู่ 10 กว่าวัน เป็นโพรงใหญ่คนรอดได้สบาย แกก็ตัดใจรอดเข้าไป เอาตะเกียงเข้าไปดูด้วย พอตะเกียงส่องแสงกระทบถูกพนัง  แม่เจ้าโว๊ยมีอะไรภาพจิตรกรรมงดงามเหลือเกิน และพระพุทธรูปปั้น พระโพธิสัตว์ใหญ่น้อย ใหญ่กว่าคนก็มี ขนาดเท่าคนก็มี เล็กกว่าคนก็มี ตั้งเป็นชั้นๆๆๆงดงามหมด ถ้ำหนึ่งแล้วถ้ำหนึ่งเล่า รุกกันเป็นชั้นๆ ลือไปกันใหญ่ คราวนี้แกก็บอกบุญพวกชาวบ้านแถวนั้นให้มาขนทรายออกจากถ้ำเป็นการใหญ่ทีเดียว ขนที่ละถ้ำ ขนมาตั้งหลายสิบถ้ำแล้ว

กิติศัพท์ก็ดังไปถึงนักโบราณคดีชาวอังกฤษคนหนึ่ง คือมิเตอร์สติงซึ่งเป็นนักโบราณคดีในจีนเหนือ กำลังขุดค้นวัตถุโบราณในทะเลทรายโกบีอยู่  มิเตอร์สติงฟังข่าวเข้าก็รีบรุดมาสำรวจ พออ่านเข้า  โบราณวัตถุแต่ละชิ้นพันกว่าปีล้วนสุดยอด  เลยทำสัญญาขอซื้อเป็นความลับ จากเต๋าหยินคนนี้  บอกอย่าขายให้ใคร และอย่างกระโตกกระตากให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองรู้  ฉันขอซื้อหมดไปเข้าพิพิธภัณฑ์สถานที่ลอนดอน ขอซื้อในราคาถูกๆ ไม่กี่ร้อยเหรียญเอง สกัดผนังออกมาทั้งแผ่น เพราะเป็นภาพจิตรกรรมนี่ สกัดยกไปทั้งแผ่นเลย  แล้วพระพุทธรูปแต่ละองค์สกัดฐานยกไปพิพิธภัณฑ์ลอนดอน 200กว่าองค์  พระพุทธรูปองค์เล็กองค์ใหญ่ ยกไป 200 กว่าองค์ แพ็กเข้าหีบใหญ่ๆ บรรถุหลังอูฐตั้ง 120 ตัว สมบัติอันมีค่า 

แล้วยังไม่เพียงเท่านั้น ยังไม่เจอถ้ำมหัศจรรย์อีกถ้ำหนึ่ง เข้าปิดผนึกเอาไว้ในก้นถ้ำใหญ่ เป็นประตูเหล็กผนึกเอาไว้  พอเปิดประตูเหล็ก แม่เจ้าโว้ย ข้างในเป็นพระธรรมคัมภีร์ พระไตรปิฎกเป็นเล่มๆ เล่มสมุดจีนนะ และก็แพจีนที่มีชื่อที่ทนต่อดินฟ้าอากาศ จารึกคำโครง คำกวี ของจินตกวี นักปราชญ์ในพุทธศาสนาเขียนเอาไว้  ลายพระหัตถ์ของกษัตริย์จีนยุคต่างๆเขียนเอาไว้  และก็ลายมือเขียนพระไตรปิฎกลอกเป็นปึกๆทั้งชุด  อรรถกถาฎีกามีพร้อมหมด  ของคนสมัยโบราณพันกว่าปีมาแล้ว  วางกองเป็นพะเนินเทินทึกจากข้างล่างจดเพดาน เปิดประเห็นเข้าตาลุกวาวดีใจเหลือเกิน  จัดแจงเพิ่มเงินให้เต๋าหยินขนเป็นการใหญ่ ขนกันหนึ่งเดือนเต็ม พวกคัมภีร์นี้ส่งไปที่ลอนดอน  ตอนนี้ความลับไม่มิดแล้ว  รัฐบาลจีนรู้เข้า ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปอายัติ อายัติไม่ทันพระพุทธรูป 200 กว่าองค์ส่งไปแล้ว  พระธรรมคัมภีร์ต่างๆส่งไป 60กว่าลัง พระธรรมคัมภีร์ลายมือเขียนคนโบราณ ผนังตึกสกัดยกไปเป็นแผ่นๆ ภาพจิตรกรรมไม่รู้กี่ถ้ำต่อกี่ถ้ำ  ศิลปะชั้นหัวกระทิหายหมด  ไม่รู้กี่ถ้ำต่อกี่ถ้ำ  ที่เหลือก็ชนิดชั้นรองลงมา  คือจะเอาให้หมดมันไม่ไหว ก็เลยเหลือไว้ให้บ้าง เหลือไว้เป็นส่วนใหญ่  แต่ว่าไอ้เพชรน้ำหนึ่งนั้นขนไปหมดแล้ว  เลยเป็นที่ให้นักปราชญ์ทางตะวันตกทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน  ต้องตั้งสมาคมพิเศษเพื่อศึกษาศิลปวัตถุจากถ้ำตุนหวง  ให้ชื่อว่าสมาคมศึกษาโบราณคดีแห่งตุนหวงขึ้น  เป็นสมาคมระหว่างชาติ เพราะของโบราณวัตถุมีมากเหลือเกิน  เพียงแต่สมาคมนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อศึกษาโบราณวัตถุเหล่านี้เท่านั้นแหละ เวลานั้นก็ยังตั้งอยู่ ยังศึกษากันอยู่ ค้นคว้ากันอยู่ ความเป็นมาต่างๆ  วันนี้ก็เห็นจะพอสมควรแก่เวลา  เวลาก็ประมาณชั่วโมงหนึ่งพอดี เล่าไม่จบก็บรรยายแค่ศิลปะแห่งถ้ำตุนหวง ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน

 

พุทธศาสนาก่อนสมัยราชวงศ์ถัง ได้กล่าวถึงศิลปวัตถุเช่นว่าถ้ำกานสู ยิงกานที่มีชื่อเสียงได้อธิบายไปแล้วเมื่อวันพระที่แล้ว ในวันนี้จะได้ดำเนินอนุศล เล่าความเกี่ยวกับพุทธศาสนาในเมืองจีนต่อไป  คือว่าหมดยุคสมัยน่ำ-ปัก คือสมัยจีนแบ่งเป็นจีนเหนือ จีนใต้ ทางจีนเหนือก็มีพวกตาค พวกเตอร์ก พวกแมนจูมาตั้งเป็นจักรวรรดิปกครองชาวจีนอยู่  พวกต่างประเทศเหล่านี้เมื่อมาเมืองจีนแล้วพวกนี้ก็ล้วนเป็นพุทธมามกะ เพราะฉะนั้นจึงได้ให้การอุปถัมภ์ กิจกรรมทางพุทธศาสนามากมาย ปรากฏตามสถิติว่ายุคน่ำปักนั้น เฉพาะในภาคเหนือ คือเหนือแม่น้ำแยงซีเกียงขึ้นไป  มีพระสงฆ์ สามเถร ภิกษุณีรวมหมดประมาณ ล้านรูป  ถึงล้านรูปไม่ใช่น้อยเลย  แล้วก็มีวัดวาอารามในพุทธศาสนาประมาณสามหมื่นเศษ เฉพาะในจีนเหนือ  นี่ก็แปลว่าเมื่อพุทธศาสนาแพร่หลายเข้ามาเมืองจีนเพียง 5 ศตวรรษ ก็ทำให้ฝังรากมั่นคง 

ในประเทศจีนกลายเป็นศาสนาที่ชนะน้ำใจชนชาติจีนหมดทั้งชาติ  ข้อนี้เพราะอะไร  ทั้งๆที่คนจีนก็มีความเย่อหยิ่งทระนง ในวัฒนธรรมประเพณีและลัทธิปรัชญาของตน  ว่าเป็นผู้นำของโลก เหตุไฉนจึงได้ยอมรับ นับถือพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาติ และเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ คนทุกชั้นมีความเลื่อมใส  ข้อนี้เห็นจะตอบได้ง่ายๆ ก็คือว่า ปรัชญาขงจึ้อ  กับปรัชญาเหล่าจึ้อ ซึ่งเป็น หลักใจของชนชาวจีนก่อนที่พุทธศาสนาจะแพร่เข้ามานั้น ดังได้กล่าวมาแล้ว ว่าปรัชญาทั้ง2 สาขานั้น ฝ่ายขงจึ้อสอนแต่คติธรรมที่เป็นไปในพุทธธรรมิกถะประโยชน์  ส่วนเหล่าจึ้อสอนหนักไปในทางสัมปรายิกถะประโยชน์  เมื่อเป็นเช่นนี้  ครั้นพุทธศาสนาแพร่เข้าไปถึง พุทธศาสนาได้สอนครบประโยชน์สาม  คือสอนทั้ง ภิกธรรมิกะประโยชน์,  สัมปรายิกถะประโยชน์  แล้วก็โลกุตรประโยชน์ด้วย แปลว่าคำสอนในพุทธศาสนานั้น เหนือกว่าขงจึ้อ กับ เหล่าจึ้อ แต่คำสอนของขงจึ้อ กับ เหล่าจึ้อนั้นสิ่งใดที่ดีเลิศ สิ่งนั้นพระพุทธเจ้าได้สอนไว้แล้วหมด  แต่สิ่งใดที่ขงจึ้อ กับ เหล่าจึ้อ สอนไม่ถึง สิ่งนั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนถึง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แปลว่าพุทธศาสนามาเหนือกว่าขงจึ้อ กับ เหล่าจึ้อ และหุ้มเอาคติธรรมของขงจึ้อ กับ เหล่าจึ้อไว้หมด  คลุมไว้หมดทีเดียว เกือบจะพูดได้ง่ายๆว่า ลัทธิขงจึ้อนั้น ไม่อื่นไปจากสูตร สูตรเดียวในพระพุทธศาสนา เพียงพระสูตร สูตรเดียวก็ หุ้มลัทธิขงจึ้อหมดแล้ว  จะป่วยกล่าวไปใยกับพระสูตรในพุทธศาสนามีจำนวนพันจำนวนหมื่นสูตร  เพียงสูตร สูตรเดียวหุ้มลัทธิขงจึ้อไว้หมด  สูตรนั้นคือ สิงคโลวาทสูตร ในทีฆนิกาย สิงคโลวาทสูตร  เพียงสูตรเดียวก็หุ้มลัทธิขงจึ้อหมดแล้ว 

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพวกชนชั้นปกครองก็ดี  พวกปัญญาชนในเมืองจีนก็ดี  จะไม่ตื่นเต้นเมื่อพระสัทธรรมของพระพุทธองค์แพร่เข้าไปถึง  เพราะว่าพวกเข้าได้ฟัง ได้ยิน ได้เห็น ในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคิด  ไม่เคยรู้มาก่อน จึงปฏิญานตนเป็นชาวพุทธกันมาก  แล้วเมื่อชนพวกนี้มาเป็นชาวพุทธแล้วก็เลยเป็นตัวอย่างนำสามัญชนให้เข้ามาเลื่อมใสด้วย  เพราะเหตุนี้ตั้งแต่พุทธศาสนาประดิษฐานในเมืองจีนแล้ว 500 ปี ก็กลายเป็นยุคทองของพุทธศาสนาขึ้น  ยุคทองที่ว่านี้ก็คือยุคน่ำ-ปัก อันเป็นยุคทองแห่งศิลปะในทางพุทธศาสนา

แล้วก็ต่อมาก็ยุคราชวงศ์ซุย  ราชวงศ์ถัง ยุคนี้เป็นยุคทองแห่งความคิด ของนักคิดชาวพุทธในเมืองจีน  ทำให้มีคณาจารย์จีนได้ตั้งนิกายของพุทธศาสนาขึ้นใหม่ๆ หลายนิกายขึ้นมา  พุทธศาสนาที่แผ่เข้าไปในเมืองจีนนั้น ในชั้นเดิมเป็นพุทธศาสนาแบบสาวกยาน หรือที่เรียกกันว่าหีนยาน แต่ความจริงคำนี้  ในที่ประชุมองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก  ประชุมกันครั้งแรกที่กรุงโคลัมโบในเกาะลังกา ในผ่านมติว่า เราจะไม่ใช้ถ้อยคำนี้เรียกพุทธศาสนาฝ่ายใต้ว่าหีนยานอีกต่อไป แต่ให้ใช้คำว่าเถรวาท  ทั้งที่เพราะว่าเถรวาทเป็นเพียงนิกายหนึ่ง ของหีนยาน อันที่จริงคำว่า หีนยานนี้ก็เป็นคำที่  พวกเราไม่ได้เรียกตัวเราเองหรอก แต่ว่าเป็นคำที่ชาวพุทธฝ่ายมหายานเขาเรียก เราก็ไม่ยอมรับคำเรียกคำนี้  มีอีกคำหนึ่งที่น่าจะเรียกได้ คำนี้คือคำว่าสาวกยาน   ยานของพระสาวก  ยานของพระสาวกนี้เห็นทีว่าไม่เป็นข้อที่ เป็นเหตุนำมาซึ่งความรังเกียจตรงกันข้ามกับคำว่า หีน  ซึ่งมหายถึง เลวๆ  คับแคบ  ต่ำๆ   แต่ว่าสาวกยานนั้นหมายถึงยานของพระสาวก คือผู้ที่  มุ่งสาวกภูมิ  เราก็เรียกผู้นั้นว่าเป็นฝ่ายสาวกยาน  ส่วนผู้ใดมุ่งพุทธภูมิเราก็เรียกผู้นั้นว่า  เป็นมหายาน  อย่างนี้ก็ไปกันได้  เพราะฉะนั้นคำว่าเถรวาทนั้นเรียกเฉพาะพุทธศาสนาในนิกายที่นับถืออยู่ในลังกา  แล้วก็นับถือกันในกลุ่มประเทศในอินโดจีนเท่านั้นเอง  อันที่จริงถ้าหากเรียกคำว่าสาวกยานแล้ว คลุมไปกว้างมามีทุกนิกายที่ตรงกันข้ามกับฝ่ายมหายานแล้ว เป็นสาวกยานหมด  มีหลายสิบนิกายด้วยกัน 

เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาที่แผ่เข้าไปในเมืองจีนยุคแรก ก็เป็นพุทธศาสนาแบบสาวกยาน   ที่รู้ว่าเป็นสาวกยานก็ดูจากผลงานของพระคัมภีร์ต่างๆ  ของบรรดาธรรมทูตที่ไปจากอินเดียไปแปลไว้ในเมืองจีน  ส่วนใหญ่เป็นพระสูตร พระวินัย  ในนิกายของฝ่ายสาวกยาน  นิกายเหล่านี้ อทิเช่น นิกายสรวาสติวาท  นิกายมศิมหาสังฆิกะ  นิกายธรรมคุปต์  นิกายมหิศาศกะ  นิกายเหล่านี้ไม่มีสถาบันในปัจจุบันนี้แล้ว  สูญไปหมดพร้อมกับการสูญของพุทธศาสนาในอินเดีย             ต่อมาในยุคน่ำ – ปัก  พุทธศาสนาแบบมหายานถึงได้แผ่เข้ามาเป็นกิจจะลักษณะโดยตรง  นักธรรมทูตที่นำคติธรรมฝ่ายมหายานมา แผ่หลายเป็นทางการท่านผู้นั้นคือ  “ท่านกุมารชีพหรือกุมารชีวะ” ซึ่งเป็นชาวเตอร์กีสถาน  เป็นคณาจารย์ชาวเตอร์กีสถาน ได้เดินทางมา  ในจีนเหนือ  ท่านผู้นี้ได้นำเอานิกายศูนยวาท ของพระนาคารชุนอันเป็นทิศาปราโมกข์ใหญ่ของฝ่ายมหายาน มาประดิษฐานในเมืองจีน  โดยได้แปลผลงานของท่านนาคารชุนเอาไว้  เป็นหนังสือ 3 เล่มใหญ่  เรียกว่า คัมภีร์มธยมกะการิกาเล่มหนึ่ง  แล้วก็คัมภีร์ ทวาทศทวารศาสตร์เล่มหนึ่ง  แล้วก็คัมภีร์มหาปรัชญาปารามิตาอรรถกถาอีกเล่มหนึ่ง  และแปลผลงานของสานุศิษย์ท่านนาคารชุนอีกเล่มหนึ่ง  คือท่านเทวะ  ออกมา คือคัมภีร์ สตศาสตร์การิกา  คัมภีร์เหล่านี้ล้วนแต่ประกาศคติธรรมเกี่ยวกับปรัชญาฝ่ายศูนยวาท  ในมหายาน  ท่านจึงเป็น สังฆปาโมกข์รูปแรกที่ตั้งนิกายศูนยวาทในประเทศจีน  เรียกกันในชื่อพากษ์จีนว่า  นิกาย ซันลุ่นจุง   คือนิกายตรีศาสตร์ อาศัยคัมภีร์ สามปกรณ์เป็นหลัก  พร้อมๆกับท่านได้นำนิกายศูนยวาทมหายานมาเผยแพร่นั้น  ท่านกุมารชีพได้แปลคัมภีร์อีกเล่มหนึ่ง  เรียกว่าคัมภีร์สัตยสิทธิศาสตร์   สัตยสิทธิศาสตร์ผู้รจนาชื่อว่าพระหริวรมัน  เป็นอินเดีย ได้แต่งหนังสือเล่มนี้เพื่อจะประมวลข้อคิดทางนิกายต่างในอินเดียครั้งนั้น  ให้เข้ารูป เข้ารอยอันเดียวกัน   แต่ว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่นั้น อีกประเด็นหนึ่ง  จากผลงานที่แปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาจีน ก็ทำให้สานุศิษย์ของท่านกุมารชีพในเมืองจีนนั้น  ตั้งนิกายใหม่ อีกนิกายหนึ่ง เพื่อจะประกาศคติธรรมในคัมภีร์นี้โดยเฉพาะ  ให้ชื่อว่านิกายสัตยสิทธิ  เรียกว่านิกายสัตยสิทธิ  ประกาศคติธรรมในคัมภีร์ปกรณ์นี้เป็นหลักใหญ่ 

หลังจากท่านกุมารชีพแล้วไม่นาน  ก็มีภิกษุชาวอุชเชนีย์  ของอินเดียอีกรูปหนึ่งชื่อว่าพระปรมารถเดินทามาเมืองจีน   ท่านผู้นี้ได้แปลปกรณ์วิเศษณ์ทางอภิธรรมอีกเล่มหนี่ง  ชื่อว่าอภิธรรมโกศะวยาขยา ผู้แต่งเดิมเป็นคณาจารย์ใหญ่ของมหายานชื่อว่าวสุพันธุ   มีชีวิตในศตวรรษที่ 9 หลังพุทธปรินิพพาน  อภิธรรมโกศะวยาขยา  เล่มนี้ นักปราชญ์ในอินเดียถือว่าเป็นหนังสือสำคัญที่สุด  ผู้ใดถ้าไม่ได้ผ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว  ผู้นั้นไม่ชื่อว่าเป็นผู้รู้ 

กล่าวกันว่าแม้แต่นกแก้วก็ยังสนทนาข้อความในคัมภีร์อภิธรรมโกศะ  ที่ว่านกแก้วสนทนาข้อความในอภิธรรมโกศะนะ นกแก้วมันพูดภาษาคนได้  ตะนี้เมื่อบ้านใครเลี้ยงวัดใครมี พระสงฆ์องค์เจ้า รวมทั้งคฤหัสถ์ท่องบ่นข้อความในอภิธรรมในคัมภีร์อภิธรรมโกศะ นกแก้วมันก็ฟัง ฟังแล้วมันก็ชิน มันก็ร้องออกมาตามเสียงข้อความในคัมภีร์อภิธรรมนั้น   จึงเป็นไปได้ว่าแม้แต่นกแก้วก็ยัง คุยกันจ้อด้วยข้อความในอภิธรรมโกศะ  ไม่เชื่อเราก็ลองเลี้ยงนกแก้ว นกขุนทองไว้  แล้วเราลองสวดมนต์ให้มันฟังทุกเข้าทุกเย็นไม่ช้ามันก็สวดอย่างเราได้เหมือนกัน  อันนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องเหนือวิสัย  แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าหนังสืออภิธรรมโกศะนี้สำคัญขนาดไหน  ที่ว่าชาวพุทธในอินเดีย แม้กระทั่งชาวต่างศาสนาในอินเดียจะต้องศึกษากัน อภิธรรมโกศะ 

ทุกวันนี้หนังสือเล่มนี้เป็นหลักสูตรสำคัญในมหาวิทยาลัยนาลันทา  ที่รัฐบาลอินเดียฟื้นฟูขึ้นใหม่  แล้วก็ปรากฏว่าท่านภิกษุปรมารถได้แปลปกรณ์นี้ออกเป็นภาษาจีน   แล้วก็อรรถาธิบายข้อความคัมภีร์นี้ให้กับบรรดาสานุศิษย์ของท่านฟัง  สานุศิษย์ของท่านซึ่งเป็นพระจีนจึงได้ตั้งนิกายใหม่ เพื่อจะเผยแพร่อภิธรรมโกศะโดยเฉพาะ  ให้ชื่อว่านิกายอภิธรรมโกศ ตามชื่อปกรณ์  ที่ได้รับถ่ายทอดมา นี่ก็แปลว่า นิกายอภิธรรมโกศ นิกายสัตยสิทธินั้น ทางมหายานยังถือว่า เป็นนิกายของฝ่ายสาวกยาน  เพราะว่าปกรณ์ทั้งสองเล่มนั้นแต่งโดยคณาจารย์ ที่ยังมีข้อคิดเห็นเป็นฝ่ายสาวกยานอยู่  แต่ทว่านิกายศูนยวาทเป็นมหายานแท้ 

ท่านภิกษุปรมารถรูปเดียวกันนี้ นอกจากได้แปลผลงานจากอภิธรรมโกศะแล้ว  ท่านยังได้แปลปกรณ์วิเศษณ์ที่สำคัญของมหายานอีกนิกายหนึ่ง  เรียกกันว่านิกายวิชญานวาทิน  เป็นนิกายที่สองไอเดียลิซั่มในพุทธศาสนา เป็นฝ่ายมโนภาพนิยม  นิกายวิชญานวาทิน ปกรณ์สำคัญที่ท่านแปลชื่อว่า  วิชญานวาทินมาตราสิทธิตรีทศศาสตร์การิกา เล่มหนึ่ง วิศติกะวิชญานมาตราศาสตร์เล่มหนึ่ง  แปลข้อความในปกรณ์วิเศษณ์ 2 เล่มนี้ออกมา  เลยเป็นเหตุให้มีสานุศิษย์ของท่านตั้งนิกายมหายานอีกนิกายหนึ่งในเมืองจีน  คือนิกายวิชญานวาท เรียนตามเสียงจีนว่า วุยซือจุง ก็เป็นอันว่าในยุคหลังพุทธปรินิพพานแล้ว 500 ปี มีนิกายมหายาน 2 นิกาย เกิดในเมืองจีน มีนิกายสาวกยาน อีก 2 นิกายเกิดในเมืองจีน รวมหมดเป็น 4 นิกาย เผยแพร่คติธรรมอยู่ในประเทศจีน 

ต่อมาในยุคซุย ยุคถัง ท่านที่เคยอ่านพงศาวดารจีนแปลแล้วก็คงจะเข้าใจว่า  ซุยถังนะมีเรื่องราวอย่างไร สนุกสนานพิลึกกึกกือแค่ไหน  ในสมัยยุคซุย – ถังนี่แหละครับ ที่คณาจารย์จีนแท้ๆ ได้ตั้งนิกายของท่านขึ้นโดยไม่ต้องเอาแบบจากอินเดีย  ราชวงศ์ซุย มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 -11 ราชวงศ์ถังมีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 12-15 ระยะนี้เป็นยุคทองแห่งความคิดทางพุทธศาสนาในเมืองจีน  ได้มีนักปราชญ์ที่เป็นชาวจีนแท้  เกิดขึ้นในพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก  ช่วยกันคบคิดข้อธรรมะต่างๆ วิจัยธรรมะต่างๆ  แล้วก็ตั้งสำนักประกาศพุทธธรรมตามแนวคตินิยมของแต่ละนิกายขึ้นมา เป็นอันมาก

ในสมัยราชวงศ์ซุย มีอายุเพียง 60 กว่าปี มีกษัตริย์เพียง 2 พระองค์เท่านั้นเอง  แต่ราชวงศ์ถังนั้นมีอายุประมาณ 300 ปีเศษ  สมัยราชวงศ์ซุยนี่ ก็มีคณาจารย์ใหญ่เป็นชาติจีนแท้ชื่อว่าคณาจารย์ จื้อเจอต้าซือ  เป็นภาษาจีนหลวง ถ้าภาษาแต้จิ๋วก็ เรียกว่า ตี้เจี้ย มีสำนักที่ภูเขาชิงเหลียนซัน  ภูเขาซิงเหลียนแห่งหนึ่ง อีกแห่งหนึ่งคือภูเขาเทียนไท้  ภูเขาเทียนไท้ปัจจุบันอยู่ที่มณฑลจีเจียง   ในจีนภาคกลาง  แล้วก็ท่านอาจารย์ตี้เจียมีสำนักอยู่บนภูเขาลูกนี้  ท่านได้วิจัยพุทธปรัชญา แล้วก็แบ่งจำแนก  กาละที่พระบรมศาสดาแสดงธรรมออกเป็นห้าสมัย คือหลังจากท่านศึกษาพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกาจบแล้ว ท่านก็ประมวลผลได้จากการศึกษาพระไตรมาเป็นรูป ของนิกายใหม่อีกนิกายหนึ่ง คือการจับจำแนก ระยะกาลที่พระบรมศาสดาแสดงธรรมออกเป็น 5 ยุค

ยุคที่หนึ่ง เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ณ บริเวณโพธิมัณ พระองค์ได้แสดงพระสูตรอันสำคัญลึกซึ้งสุขุมคัมภีร์ภาพที่สุด สูตรนี้มีนามว่า พุทธาวตังสกมหาไวปุลยสูตร ออกตามสำเนียงจีนหลวงว่า ต้าฟางกวาฝาเหียนจิง ในขณะที่ทรงแสดงสูตรนี้กินเวลา 37 วันด้วยกัน ประทับอยู่ในทิพยมณเฑียรเกษตร ในบริเวณโพธิมัณ สูตรนี้ในพระสูตรบอกว่า แม้แต่พระอรหันต์ฟังยังไม่รู้เรื่องเพราะลึกเหลือเกิน ขนาดภูมิพระอรหันต์ฟังยังไม่เข้าใจเชี่ยวนะ  เพราะฉะนั้นอย่างพวกเราเห็นจะแย่  ว่างั้น ผู้ที่จะฟังเข้าใจมีแต่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์  ชั้นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เท่านั้นถึงจะฟังรู้เรื่อง  พระสาวกชั้นสาวกภูมิฟังแล้วลุกออกจากบริษัทหมดไม่เข้าใจลึกซึ้งมาก  แสดงสูตรนี้อยู่ นี่เป็นยุคที่หนึ่ง ยุคนี้ถ้าจะเปรียบกับทางเถรวาทเรา ทางเถรวาทเราถือว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงพิจารณาคัมภีร์อภิธรรม  เมื่อพิจารณาถึงคัมภีร์มหาปฐาน เกิดฉัพพรรณรังสีออกจากพระวรกาย ถึงอย่างนั้น  แต่ว่าทางฝ่ายมหายานก็  ไปแทรกบอกว่าคือแสดงสูตรนี้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการพิจารณาพระอภิธรรม  แต่ว่าทรงแสดงพระสูตรอันลึกซึ้งนี้

ยุคที่สอง เมื่อพระบรมศาสดาเห็นว่า  พระสัทธรรมที่พระองค์แสดงในยุคแรกนั้นลึกซึ้งเกินภูมิของมนุษย์จะฟัง  เพราะฉะนั้นจึงทรงผ่อนแก้ไขให้ง่ายลงมา  เปลี่ยนมาทรงแสดงอริยสัจ4  ขณะอริยสัจ4 เป็นของง่ายแล้ว แปลว่าผ่อนลงมาให้ง่ายหน่อย ยุคนี้นะจึงแสดงคติธรรมในฝ่ายหีนยานล้วนๆ พระสูตรต่างๆในฝ่ายหีนยานเกิดในยุคนี้  กินเวลาประมาณ 12 ปี โปรดบรรดาพวกที่มีภูมิชั้นสาวก  คืออริยสัจ 4

ยุคที่สาม ทรงพิจารณาเห็นว่า บรรดาพระสาวกที่ฟังธรรมในยุคที่ 2 นั้นนะ ยังเข้าใจผิดอยู่นึกว่าธรรมะของพระองค์นะ  มีสูงสุดเพียงแค่นี้  ซึ่งยังมีความเข้าใจผิด พระองค์จึงได้แสดงธรรมะเลื่อนภูมิพระสาวกให้เป็นมหายาน จึงได้แสดงคติธรรมทั้งหมดในฝ่ายมหายาน  ได้เทศนาพระสูตรต่างๆ อาทิเช่น วิมาลากีรตินิเทสสูตร ศรีมาลาเทวีสิงหนาทสูตร พุทธสาครสมาธิธยานสูตร  ศูรางคมสมาธิสูตร สุขาวตีวยูหสูตร มหาสมิตาตวยูหสูตร สันธิวิรโมจนสูตร ซึ่งเป็นสูตรในฝ่ายมหายานในบาลีไม่มีหรอก เป็นสูตรมหายานทั้งนั้น  แสดงในยุคที่ 3 เป็นภูมิมหายาน เลื่อนชั้นพระสาวกขึ้นเป็นโพธิสัตว์

ยุคที่ 4 บรรดาพระสาวกซึ่งเลื่อนภูมิเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว ยังมีความหลงผิดเบาบางติดอยู่  ยังมีอัตคิตา ความยึดในความมีความเป็นเช่นยังมีความยึดว่า มีพระนิพพานอันเราจะเข้าไปบรรลุ มีวิมุตติอันเราจะเข้าไปหลุดพ้น  มีวิมุตติธรรมที่เราจะเข้าไปได้ ยังมีความเข้าใจผิดนิดๆหน่อยๆ กระเซ็นกระสายอยู่ พระบรมศาสดาจึงแสดงธรรมยุคที่ 4 เทศนาบนภูเขาคิชกูฏ แสดงหลักธรรมะฝ่ายศูนยตา สูตรนี้ชื่อว่า มหาปรัชญาปารามิตา หลักศูนยตาทั้งนั้น สูตรนี้ คติธรรมในสูตรนี้  ถ้าจะว่ากันย่อๆก็มี (กล่าวสันสกฤต) แปลโดยจัยความว่า ธรรมทั้งปวงมีความศูนย์เป็นลักษณะ  ไม่เกิดขึ้น ไม่ดับไป ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแพ้ว ไม่มีอะไรที่เรียกว่ามัวหมอง ไม่มีอะไรที่เรียกว่าผ่องแพ้ว ดูก่อนสารีบุตรในความศูนย์นั้น ไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีวิชา และอวิชชา ไม่มีความหลุดพ้นไปจากอวิชชา ไม่มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่มีการได้นิพพานหรือการไม่ได้นิพพาน แสดงคติศูนยตาเพื่อที่จะปัดล้างความยึดถืออันเป็นชั้นละเอียด ที่ติดในอัตถิตาให้หมดไปจากจิตใจ  ของบรรดาพระโพธิสัตว์  คติธรรมนี้แสดงในมหาปรัชญาปารามิตาสูตร ว่าด้วยเรื่องศูนย์ทั้งนั้น เปิดหน้าแรกก็ขึ้นศูนย์ทีเดียว  ศูนยตาทีเดียว

ยุคที่ ห้า อันเป็นยุคสุดท้าย ทรงแสดงธรรมะที่ลึกซึ้งเหมือนยุคแรกอีก คือประมวลแล้วเห็นว่าบรรดาพระสาวกนะภูมิได้เลื่อนชั้นเป็นลำดับแล้ว จากชั้นเตรียมมาเป็นชั้นอุดมศึกษาเป็นลำดับ ครั้งนี้จะได้รับมอบดุษฎีบัณฑิตกันให้ละ ปริญญาได้รับกันมาเป็นชั้นๆแล้ว มีปริญญาเหมือนกันนะ ความจริงคำว่าปริญญาโลกเอาทางธรรมะไปใช้  ทางธรรมะเราก็มีปริญญา 3 มีมาแล้ว มีลณปริญญาเอย ยาสปริญญาเอย ปหณปริญญาเอย เรามีปริญญา 3 เหมือนกัน ทางมหายานเขาก็ถือว่าเมื่อบรรดาพระสาวก ผ่านภูมิมาเป็นอันดับชั้นแล้ว มาชั้นสุดท้ายเมื่อจวนๆจะ กาลปรินิพพานของพระบรมศาสดา พระองค์จึงได้เปิดเผยธรรมะซึ่งลี้ลับที่สุดไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเลย  มาเปิดเผยความจริงในตอนจวนจะนิพพานนี่แหละ เปิดเผยธรรมะลี้ลับที่สุด แสดงพระสูตรสำคัญ 2 สูตร คือสัทธรรมปุณฑริกะสูตร กับมหาปรินิวาณสูตร 2สูตร สัทธรรมปุณฑริกะสูตรไม่มีในบาลีหรอก เป็นสูตรในมหายานเขามีของเขาโดยเฉพาะ  แต่มหาปรินิวาณสูตรนั้นนะบาลีมี แต่มหายานขยายความยาวจากบาลีไปสิบกว่าเท่ามากมายพิสดารมาก ยาวมากมาย พิมพ์เป็นเล่มสมุดตั้ง 6-7เล่ม มหาปรินิวาณสูตรของเขานะ 6-7 เล่มทีเดียว มีข้อความที่ไม่มีในบาลีเยอะแยะเลย

สรุปแล้วว่าทรงแสดง 2 สูตรนี้มีจัยความสำคัญอย่างไร  ในสัทธรรมปุณฑรีกะสูตรนี้  มีจัยความแสดงให้บรรดาสาวก พระโพธิสัตว์เห็นว่า อย่าได้เข้าใจพระองค์ผิดว่า พระองค์เกิดเป็นเจ้าชายสิตธัตถะแล้วพระชนม์ 29 ก็ออกบวช  พระชมม์ 36 ก็ตรัสรู้ พระชนม์ 80 ก็จะดับขันธ์ แต่จริงภาวะที่แท้ของพระองค์ไม่เกิดไม่ดับ ไม่เป็นอนาทิเบื้องต้นไม่ปรากฏ  อนันตะแผ่ซ่านอยุ่ทั่วไป  ไม่มีจุดจบ ที่พระสาวกเห็นพระองค์แก่ชราภาพ เห็นพระองค์ประชวร และเห็นพระองค์นิพพานนั้นนะเป็นละครฉากหนึ่งที่พระองค์เนรมิตขึ้น  ไม่มีจุดจบ แสดงให้เห็น เพื่อให้บรรดาสรรพสัตว์ในโลกนี้มันเกิดอนิจจะสัญญา บังเกิดนิเททิกะสัญญา  บังเกิดนิทิทาญาณขึ้นมา  ให้ความรู้สึกเบื่อหน่าย เป็นภาพที่พระองค์เนรมิตขึ้น  พระองค์ดับขันธ์จากที่นี่ จะไปปรากฏในโลกอื่นเพื่อจะทำหน้าที่บำเพ็ญพุทธกิจโปรดสัตว์ต่อไป  เพราะว่าภาวะของพระองค์ไม่ใช่ความดับสูญ  อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ไม่ใช่เป็นความหมายอย่างพวกหีนยานเข้าใจกัน  ภาวะของพระองค์เป็นทิพย์ เบื้องต้นไม่ปรากฏ  ท่ามกลางไม่ปรากฏ  บั้นปลายไม่ดับสูญ แผ่ซ่านอยู่ทุกหนทุกแห่ง  ไม่มีแห่งใดที่ไม่มีภาวะพระองค์แผ่ซ่านไปได้ แล้วก็ตรัสว่า สรรพสัตว์ทั้งปวงในโลกนี้ มีพุทธอยู่แล้วในตัวทุกคน ทุกคนกำลังพัฒนาไปเป็นพุทธะ แม้กระทั่งต้นไม้ ต้นไร่ก็มีพุทธอยู่ทั้งนั้น ธาตุแห่งองค์พุทธอยู่ แมลงปอตัวหนึ่ง แมงหวี่ตัวหนึ่ง ยุงตัวหนึ่งมดตัวหนึ่งก็มีธาตุแห่งความพุทธะอยู่ในตัว  เพราะว่าสรรพสัตว์ทั้งปวงนะย่อมมีชีวิตรวมกันเป็นหนึ่ง เป็นเอกีภาวะในธาตุแห่งความเป็นพุทธะนี่ เป็นเอกีภาวะอันเดียวกัน ที่เรายังเห็นสัตว์ทั้งปวงบางคนโง่บางคนฉลาดนะ  นั่นเป็นเพียงมายาข้างนอกมาปิดบังเอาไว้  ถ้าดูกันแก่นแท้ภายในแล้ว  พุทธะก็คือเรา เราก็คือพุทธะ พุทธะไม่อื่นไปจากเรา เราก็ไม่อื่นไปจากพุทธะ พุทธะอยู่ที่เรา เราก็อยู่ที่พุทธะ เป็นอย่างนี้ เป็นเอกีธาตุหมด เผยความลี้ลับครั้งขั้นสุดท้ายออกมา แสดงคติธรรมอันนี้ออกมา

ส่วนในมหาปรินิวาณสูตรนะ มีข้อใหญ่ใจความที่สอนบอกว่า จิตนี้เป็นอมตะ ไม่เกิดไม่ดับ ไอ้ที่เกิดที่ดับนั้นนะ เป็นเพียงแต่อาการของจิต  จิตแท้ๆ  จิตเดิมแท้นี่ประภัสสร ประภัสสรไอ้ที่ว่านี่คือไม่เกิดไม่ดับ เป็นจิตบริสุทธ์ ที่มีการเกิด การดับรับรู้อารมณ์ต่างๆนะเป็นจิตลวง เป็นอาการของจิต  อาการของจิตกับตัวจิตไม่เหมือนกัน เหมือนกับ ธาตุน้ำ กับคลื่นน้ำ คลื่นน้ำก็ไม่ใช่ธาตุน้ำ ธาตุน้ำก็ไม่ใช่คลื่นน้ำ  คลื่นน้ำจะมีขึ้นก็ต้องมีธาตุน้ำ ถ้าไม่มีธาตุน้ำคลื่นน้ำก็ไม่ปรากฏฉันใด ความเกิดดับ จะต้องตั้งอยู่บนรากฐานความไม่เกิดดับ  ไอ้ความไม่เกิดดับก็คือจิต จิตนี้เรียกกันต่างๆ  เรียกกันว่า พุทธภาวะบ้าง เรียกตถาคตคัพภบ้าง ตถาคตครรภ์นะ ตถาคตคัพภครอบพระตถาคต  เรียกย่างนี้ เรียกนิพพานจิตบ้าง ใช้คำว่านิพพานจิต จิตคือนิพพานเลยทีเดียวนะ เพราะตัวจิตนั้นแหละคือนิพพาน จิตที่บริสุทธิ์ตัวนั้นแหละคือนิพพาน  เป็นอย่างนี้ นี่ในมหาปรินิวาณสูตร  5สมัยด้วยกัน

          คณาจารย์ ตี้เจี้ยได้ประมวลหลักธรรมที่ท่านได้ศึกษามาแบ่งเป็น 5 สมัย แล้วท่านก็ตั้งนิกายเทียนไท้ขึ้น ในยุคราชวงศ์ซุย  ต่อมาในร่วมยุคกับท่าน ก็มีอาจารย์อีกองค์หนึ่งชื่อว่า อาจารย์เชงเลี้ยง เชงเลี้ยงก็แปลอาจารย์ที่มีความผ่องใส สะอาด สงบ อาจารย์เชงเลี้ยงได้ศึกษาคัมภีร์พุทธาวตังสกมหาไพบูลย์สูตร ที่แสดงไว้ยุคแรกนั่นแรก แล้วท่านก็ตั้งนิกายอีกนิกายหนึ่ง ให้ชื่อว่า เฮี่ยงจิ๋ว ออกสำเนียงจีนหลวงว่า เสียงโซว หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าฝาเฮี่ยงจุง ตามชื่อของพระสูตร นิกายเทียนไท้ได้อีกชื่อหนึ่งฝ่าฝาจุง ตามชื่อของพระสูตรอีกเหมือนกัน คือนิกาย สัทธรรมปุณฑรีกะ แล้วก็นิกายอวตังสก ถ้าว่าตามเสียงสันสกฤตก็เป็นอย่างนั้น ทั้งสองนิกายมีคติธรรมคล้ายกันคือสองว่าจิตที่แท้จริงไม่เกิดไม่ดับ  ไอ้ที่เกิดดับนะเป็นอาการของจิต วิญญาณกับจิตไม่เหมือนกัน วิญญาณขันธ์เกิดดับ จิตพ้นขันธ์ จิตที่แท้นะเป็นผู้รู้ขันธ์ ละขันธ์ เป็นธาตุพุทธ  เป็นนิพพาน มีจิตแท้ คติธรรมคล้ายๆกัน  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเขาสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นนะเป็นเอกีภาวะ เพราะทุกคนมีจิตอมตะด้วยกันทุกคน  ถ้าว่าในในแง่อมตะแล้ว ทุกคนเป็นอมตะหมด  เพราะฉะนั้นคนทั้งโลกหรือสรรพสัตว์ในไตรภูมิ  จึงชื่อว่าประชุมอยู่ในภาวะอันเดียวกัน คือในภาคแห่งความเป็นพุทธะ คือดวงจิตนี้  คติธรรมอันนี้คือคติปรัชญาที่เรียกว่า ยูนิเวอแซลมายด์ จิตสากล คติธรรมเรื่องจิตสากล 

          ทั้งสองนิกายไม่รู้ตัวหรอกว่าที่สอนแบบนี้ อาจารย์ในศาสนาพราหมณ์หัวเราะกิ๊กก๊ากๆชอบอกชอบใจ  เท่ากับประกาศลัทธิพราหมณ์โดยไม่รู้ตัว ช่วยลัทธิพราหมณ์เขาโฆษณา ในคัมภีร์อุปนิษัทอธิบายแบบนี้ทั้งนั้น  ภควัตคีตา พระกฤษณะพูดกับพระอรชุน ว่า อรชุนเรานี้เป็นผู้รังสฤษโลก ภาวะของเราเป็นทิพย์ แผ่ซ่านอยู่ทั่วโลก สรรพสัตว์ย่อมปรากฏอยู่ในตัวของเรา อาตมาเป็นอาตมันในสรรพสัตว์ อาตมาเป็นอาตมัน อาตมันคือพระกฤษณะเป็นอาตมันในสรรพสัตว์ ในบรรดาภูเขาอาตมาเป็นหิมาลัย ในบรรดาแม่น้ำอาตมาเป็นคงคา ในบรรดาความร้อนอาตมาเป็นอัคนี ในบรรดาวายุอาตมาเป็นพระพาย ในบรรดามนต์อาตมาเป็นโอม ในบรรดาฤษีอาตมาเป็นยอดฤษี เพราะฉะนั้นอรชุนไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลยที่จะอยู่ได้โดยปราศจากอาตมา อันนี้นะเป็นหลักยูนิเวอร์แซลมายด์ สอนลัทธิจิตสากล ซึ่งไอ้จิตสากลนี่ จิตในศาสนาพราหมณ์ก็เป็นอาตมันซิ ตอนนี้ในมหายาน 2 นิกายนี้ก็คือไอ้จิตเดิมแท้นี่แหละ ไอ้จิตบริสุทธิ์ที่ไม่เกิดดับ นิพพานจิตนี่แหละ เป็นอย่างนั้น เป็นเพียงแต่ว่าเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเรียกใหม่อธิบายแล้วตรงเป๋งเลย 2นิกายนี้ มีคติธรรมคัดค้านนิกายคัดค้านนิกายมหายานอีก 2 นิกายเดิมนะ นิกายศูนยวาทปฏิเสธคติ 2 นิกายนี้ว่าจิตนะไม่มีจิต ไม่เกิดดับไม่เชื่อ นี่ศูนยวาทของนาคารชุน และก็นิกายวิชญานวาทอันเป็นนิกายมหายานเหมือนกันก็คัดค้าน 2 นิกายนี้ ตกลงในเมืองจีนมีนิกายมหายาน 4 นิกายแล้ว นิกายที่รับมาจากอินเดียโดยตรง 2 นิกาย นิกายที่เกิดขึ้นในเมืองจีนอีก 2 นิกาย

          ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถัง ต่อจากววงศ์ซุ๊ย วงศ์ถังนะท่านทั้งหลายอ่านเรื่องซุยถัง-น่ำปักแล้วคงรู้จักลี้ซิบิ้น ลี้ซิบิ้นเป็นพระเอกที่มีชื่อในเรื่องซุยถัง ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ถังคือพระเจ้าถังเกาโจ๊วฮ่องเต้ ลี้อวน และต่อมาโอรสของพระองค์คือลี้ซิบิ้นนี้ ได้ปลงพระชนม์พระเชษฐา เป็นกษัตริย์ พระเจ้าถังไท่จงมหาราช แผ่จักรวรรดิของจีนออกไปทางเหนือถึงไซบีเรีย ทางตะวันออกถึงเกาหลี ทางตะวันตกสุดแดน หมู่คอนสแตนติเนเปิลของยุโรปตะวันออก ทางใต้ตีได้ลังกาสุมาตราอินโดนีเซีย ปราบทั่วสารทิศเลย เป็นสมัยที่จักรวรรดิจีนมีอานุภาพแผ่ครอบงำไปตั้ง 2 ทวีป คือ ยุโรป กับเอเชีย ยุคนี้แหละเป็นยุคที่มีนักปราชญ์ทางพุทธศาสนาในเมืองจีนเกิดขึ้นมาก 

          นิกายที่พระจีนได้ตั้งขึ้นก็เกิดในยุคนี้ อีก 2 นิกาย คือนิกายเซ็น กับนิกายสุขาวดี แล้วก็มีนิกายมหายานที่มาจากอินเดียอีกนิกายหนึ่ง ไม่ได้เกิดจากเมืองจีนมาจากอินเดีย  นิกายนี้คือนิกายมนตรา หรือมันตรา อีกนิกายหนึ่งมาเผยแพร่ นิกายสุขาวดีเป็นนิกายสำหรับ สามัญชนชาวบ้านธรรมดาๆ มารับนับถือได้ง่าย เพราะว่าไม่ต้องเสียเวลามาขบคิดปัญหาทางอภิปรัชญาอะไรลึกซึ้ง นิกายนี้จึงเหมาะสำหรับชาวบ้าน สามัญชนทั่วไปที่อยากจะขึ้นสวรรค์ทางลัดมีวิธีไปทางลัด คือว่าถ้าจะมาสอนกันเรื่องไปนิพพานแล้วละก็แหมมันลำบากลำบน จะต้องมาละกิเลส จะต้องมาทำกรรมฐาน กว่าจะไปได้ ชาตินี้อาจจะไปไม่ถึงก็ได้ ถ้าบารมีของเราอ่อนนะ อย่างนี้สามัญชนทั่วไปที่ไม่ใช่เป็นนักปราชญ์ก็ท้อใจเข้าไม่ถึงธรรมะ เพราะเหตุนั้นคณาจารย์ในมหายานจึงเข้าใจหากุศโลบายมาช่วยมาอธิบาย บอกไม่เป็นละหรอกไอ้เรื่องไปนิพพานนะ ถึงแม้ชาตินี้จะไปไม่ถึงนะ เราไปอาศัยโรงแรม ระหว่างนิพพานกับวัฏฏก่อน มีอยู่โรงแรมแห่งหนึ่ง

          โรงแรมแห่งนี้นะดีเหลือเกิน บรรยากาศภูมิประเทศโอ้อย่าว่าไปเลย พื้นเป็นสุวรรณปฐพีโรยด้วยทรายทอง แล้วก็มีสระโบกขรณีอันเป็นทิพย์ ในแดนนี้นา สระโบกขรณีอันเป็นทิพย์ น้ำเปี่ยมขอบสระพอที่กาจะก้มลงดื่ม น้ำไม่เอ่อล้นขอบสระ และก็ไม่แห้งขอดจนติดก้นสระ   แต่เปี่ยมบริเวณขอบสระพอที่กาจะก้มลงไปดื่มกินโดยไม่ต้องลำบากลำบนอะไร แล้วในสระโบกขรณีอันเป็นทิพย์นี้ มีดอกปุณฑริก อุบล ปัทมา นิลุบล บัวขาบ บัวเคี้ยว บัวเรื้อน บัวแดง บัวหลวง บัวนานาชนิด ดอกหนึ่งสัณฐานโตเท่ากงเกวียน  ดอกบัวพวกนี้ไม่ใช่เกิดเปล่าๆนะ ดอกบัวพวกนี้มีไว้สำหรับสัตว์ให้ถือกำเนิด เป็นโอปะติกกำเนิด เกิดผุดขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาว บนดอกบัวนี้ เหนือจากฝั่งสระโบกขรณีก็มีต้นตาลเจ็ดแถว ในบริเวณต้นตาลเจ็ดแถวนี้มีตาข่ายกระดึงทองขึงด้วยกัน มีกิจกระดึงทองตั้งโอ๊ดตั้งแสนเครื่อง เวลายามลมโชยมาอ่อนๆกระทบถูกกระดึงทองเหล่านี้ ก็บรรเลงเป็นทิพยสังคีตอันไพเราะจับใจ บรรเลงขึ้นมาพร้อมกัน และนอกจากนี้ยังมีเสียงนกยูง นกกระเรียน ดุเหว่า นกแก้ว นกสาริกา นกที่ร้องเสียงเพาะๆ นกเขา ท่านที่ชอบนกเขาไปเกิดที่แดนนั้นฟังนกเขาสบายเลย  นกเหล่านี้ไม่ใช่ร้องเสียงเป็นนกนะ ร้องเสียง ประกาศโพชฌงค์เจ็ด มรรคมีองค์แปด วันละสามครั้ง สบายแล้วไม่ต้องมีไมรโคโฟน มีอัดเทปเปิดเทปโฆษณาธรรม นกประกาศโฆษณาธรรมเองวันละสามครั้ง บรรดาสมาชิกในแดนทิพย์นั้น ครั้นฟังเสียงนกเหล่านี้ครั้งใดก็เกิดพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ ขึ้นในครั้งนั้น  การกาลบัดนั้น แดนที่ว่านี่นะอยู่ที่ไหน อยู่จากโลกของเรานี้ไปทางทิศตะวันตกนับไปแสนโกฏโลกนับดวงดาวบนท้องฟ้าให้ได้ครบแสนโกฏเป็นเจอโลกนี้ให้ชื่อว่าสุขาวดี แปลว่าแดนความสุขอย่างอุกฤต อยู่ทางทิศตะวันตก 

พอสร้างแดนสุขาวดีขึ้นแล้ว คนก็เอาสิ พวกที่ใม่ใช่นักปัญญาชนเป็นสามัญชนนี่ดีนี่ เพราะคนเรามันโลภเงินโลภทอง มีสุวรรณปฐพีทรายเงินทรายทอง มันชอบ คนเราก็ชอบไอ้เงินๆทองๆเพชรนิลจินดาอยยากจะได้กัน โลกนี้ทางมหายานเรียก โลกนี้ว่า สหาโลกธาตุ  คำว่าสหาโลกธาตุนะหมายความว่าโลกธาตุจะต้องอดทน  คนเราที่เกิดมาในโลกนี้  ในโลกธาตุที่เราอยู่นี้ต้องเกิดมาด้วยความอดทน อยู่ก็อยู่ด้วยการอดทน  ไอ้อยู่ที่ไม่อดทนนะไม่มีหรอก  อดทนจากอะไร  ท่านบอกว่าโลกนี้มีความเสื่อมคือความฉิบหายอยู่ ความฉิบหายเพราะกัป  ความฉิบหายเพราะอายุ  ความฉิบหายเพราะกิเลส ความฉิบหายเพราะสัต  ความฉิบหายเพราะทิฏฐิ  โลกนี้มีความฉิบหายอยู่ ดังว่ามา  เพราะฉะนั้นพวกสัตว์ที่จะมาเกิดในโลกนี้ก็ต้อง  ผจญไอ้ความฉิบหายดังว่ามาก็ต้องอยู่ด้วยความอดทน  อดทนได้ก็อยู่ไป  อดไม่ได้ก็ตายไป อยู่อย่างนี้  ไม่มีที่จะหาความเสบย นะไม่มีเลย  ที่เรานึกว่ามันเสบยความจริงไม่เสบย  มันเป็นเพียงแต่ ขี้เถ้ากลบเพลิงเท่านั้นเอง  ความจริงข้างในระอุ เราหลงผิดไปเท่านั้นเองว่ามันสบาย   ว่างั้น  แต่ว่าในแดนสุขาวดีนั้นไม่มีเลย ไอ้ของพวกนี้  อย่าเข้าใจว่าพวกนกอันเป็นดิรัจฉานคติจะมีในสุขาวดีนะ  นกเหล่านั้นไม่ใช่นกธรรมดานะเป็นพุทธเนรมิต  พระพุทธเจ้าเนรมิตขึ้นมา  เพื่อให้เป็นเครื่องมือในการประกาศธรรม  ในโลกนี้ต้องอาศัยไมโครโฟน วิทยุ เครื่องเทปประกาศธรรม  แต่โลกนั้นไม่ต้อง  อาศัยนกประกาศธรรม  สบาย สบายกว่าโลกนี้เป็นไหนๆ น่าไปไหมละ ฟังแล้วอยากจะไปไหมล่ะ  อยากไปจะบอกวิธีให้  นิกายสุขาวดีบอกว่า ผู้ที่อยากจะไปเกิดในแดนสุขาวดีนี้ มีข้อปฏิบัติอยู่ 3 ประกาศ

          1 ต้องตั้งศรัทธปสาทะในองค์พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง  เวลานี้ท่านยังทรงพระชนม์ชีพอยุ่ ประทับแสดงธรรมอยู่ในสุขาวดี  พระพุทธเจ้าองค์นี้ชื่อว่า พระอมิตาภะ  แปลว่าพระพุทธผู้มีรัศมีไม่จำกัดแผ่ซ่านไปทั่ว อมิตะ+ อาภา อมิตาภา ผู้แสงอาภา คือแสงสว่าง  กำจายไปทั่วไม่มีขอบเขต  เดี๋ยวนี้ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นะ  แสดงธรรมโปรดสัตว์อยู่ที่สุขาวดี  ห่างจากโลกเราไปแสนโกฏโลกจึงเจอ ทางตะวันตก  แผนที่หลักภูมิศาสตร์บอกไว้เลย ในคัมภีร์ว่าอย่างนั้น

แล้วนอกจากท่านประทับแสดงธรรมอยู่แล้ว  ท่านยังมีปลัดซ้ายปลัดขวาอยู่ช่วยงานท่านในการโปรดสัตว์ ปลัดขวาของท่านคือพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ คือพระกวนอิม  ในภาษาจีนแปลว่ากวนอิม  ปลัดซ้ายคือพระมหาสถานปราบ จีนเรียกว่าไต้ซีจี่ สองพระองค์  อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์กับพระมหาสถานปราบโพธิสัตว์ เป็นตำแหน่งพระครูปลัดของท่าน  คอยช่วยงานในการบริหารกิจพระศาสนาโปรดสัตว์อยู่  พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์มีปณิธานกับพระอมิตาภะยิ่งใหญ่เหลือเกิน คือตามประวัติเล่าบอกว่า ในอดีตชาติ  พระอมิตาภะพุทธเจ้ายังเสวยพระชาติชื่อว่าธรรมากรภิกขุ  บวชเป็นพระในสมัยโบราณพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง พระอมิตาภะนะเป็น  ธรรมากรภิกขุ แล้วก็ได้ตั้งปณิธานในแถบพระบาทมือ  แห่งพระโบราณพุทธเจ้าพระองค์นั้นถือ 42 ข้อด้วยกัน  ใน 42 ข้อนั้น มีอยู่ข้อหนึ่ง ระบุว่า ถ้าพระองค์ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้โลกธาตุของท่านมีทิพยสุข มีเครื่องอลังการต่างๆล้วนเป็นทิพย์ประดับประดา  สัตว์เหล่าใดที่มาเกิดในแดนของพระองค์ อย่าได้มีทุกข์กาย ทุกข์ใจมาบีทาเลย  แล้วก็สัตว์เหล่าใดถ้าปรารถนาจะมาเกิดในแดนของพระองค์นะ  เป็นเพียงแต่ระลึกถึงพระองค์เท่านั้นก็ได้เกิดตามจำนงหวัง  ถ้ามาสว่าไม่เป็นไปตามที่พระองค์ปฏิญานแล้ว  ก็ขอให้พระองค์อย่าได้บรรลุโพธิญาณเลย  ก็บัดนี้ธรรมากรภิกขุได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว  มีนามว่าอมิตาภะ  ก่อนหน้าพระศากยมุนีพระพุทธเจ้าของเราองค์นี้ตรัสรู้ 10 กัป บรรลุมาแล้วในอดีต 10 กัป เป็นอดีตพุทธะ แล้วยังพระชนม์ชีพอยู่เวลานี้  จึงอินชัวรันด์ได้ว่าหากว่าจะไปเกิดแล้ว พระองค์ต้องแผ่บารมีมาเอาเราไปเกิดแน่ แล้วนี่บอกต้องให้ศรัทธาเปี่ยมปสาทะในพระองค์ให้มากๆ ให้เชื่อว่าพระองค์มีบารมีที่จะมาช่วยถ่ายบาปของเรา  พาเราไปเกิดในแดนทิพย์นะ

ข้อ 2 ต้องพร่ำบ่นพระนามของพระองค์  ภาวนาถึงพระองค์อยู่เป็นนิจ อาการำพร่ำบ่นกำหนดจิตนึกถึงพระองค์ ปากเราก็พร่ำบ่นบูชาพระองค์ เช่น บ่นว่านโมอมิตาภายุพุทธายะ  นโมอมิตาภายุพุทธายะ ภาวนาอย่างนี้ สันสกฤตนะ  ถ้าว่าเป็นเสียงจีนก็ นำมอออมีทอฮุก ภาษาแต้จิ๋ว  ถ้าว่าเป็นจีนหลวงก็ว่า นำโมหนันมู่อามีทอฟู  ถ้าว่าเป็นเสียงญวนก็ นำโมอาโมอามีดาทัก พุทธะญวนออกเสียงเป็นทัก  อย่างกันพุทธศาสนา เสียงญวนออกว่า ผักเย้า คือพุทธศาสนา  อามิดาพัก  ก็คืออมิตาภะ  ถ้าว่าเป็นเสียงญี่ปุ่นก็  นาโมอามิดาบุดยุ แล้วแต่เลือกจะว่าเสียงไหน ถ้าจะว่าเป็นเสียงไทยๆ ก็ นโมอามิตาภะพุทธายะ เราก็คล่องดี ชัดเจนดี วันหนึ่งร้อยโกฏ แสนหน ยิ่งมากยิ่งมีบุญ  อย่าให้หยุด  ถ้าภาวนาเสียงดังไม่ได้  ก็ภาวนาในใจก็ได้  ใช้ได้เหมือนกัน 

ข้อที่ 3 ตั้งปณิธานอธิษฐานจิต ขอให้ได้เกิดในแดนนั้น  ใครปฏิบัติครบ 3 ข้อนี้ พระอมิตาภะท่านรับรองกับเราเลย ท่านอินชัวรันด์กันเรา  รับประกันกับเราว่า เราตายแล้วต้องไปเกิดในแดนสุขาวดีร้อยเปอร์เซ็น  ท่านจะมารับเอง ถ้าหากว่าบุญบารมีเราสูงมาก ท่านมารับเองทีเดียว  ถ้าเรายังมีบาปมีกรรมอยู่บ้างท่านส่งบริวารท่านมารับ  ส่งผู้ช่วยท่านมารับเราไป  ถ้าหากเราบาปมาก  หนามาก  มากมายตอนจวนจะตายเกิดระลึกถึงพระองค์ได้ขึ้นมา  ถึงกะนั้นพระองค์ก็ยังจะรับเราเข้าไปในสุขาวดี  แต่มีข้อแม้นะ พวกที่มีบาปมากๆเหนี๊ย  เมื่อไปเกิดในสุขาวดีดอกบัวไม่บานในทันทีหรอก  ดอกบัวหุบ  หุบอยู่บางทีหุบตั้งกัปกัปแน่ะ  ให้เราชำระล้างบาปภายในดอกบัวหุบนั้น  แต่ถ้าผู้ใดมีบุญอย่างเดียวไปเกิดผุดทันที บานทันทีเชียว 

คติธรรมอย่างนี้สามัญชนชอบใจ  ขึ้นสวรรค์ทางลัดเอาง่ายๆ  ดีกว่ามานั่งภาวนา ยุบหนอ พองหนอ โอ้โห่ ลงทุน ลงรอนมากเหลือเกินต้องเสียสละมากมาย ต้อง  ละปริภูต เครื่องกังวลมากมาย ลำบาก  เอนี่มหายานเขาเสนอนิกายสุขาวดีนี่ เข้าทีแหะ  ไม่ต้องอะไร เพียงแต่ สวด นโมอมิตาภาพุทธายะ แล้วก็ตั้งจิตอธิษฐาน  เท่านี้ได้ไปแล้ว  ใครบ้างจะไม่อยากไป   ไปกันเลย  เพราะฉะนั้นสุขาวดีจึงกลายเป็น คล้ายๆโรงแรม  ที่พักระหว่างวัฏฏสงสารกับนิพพาน  สุขาวดีไม่ใช่นิพพานนะ เป็นโลกโลกหนึ่งของพระพุทธเจ้า  เราไปอยู่ที่นั่นก็เข้านิพพานไปเลย 

ถ้าจะเทียบก็เหมือนสุทธาวาส  ชั้นสุทธาวาสพรหมเป็นแดนอยู่ของพระอนาคา อยู่แล้วเข้านิพพาน  อยู่แล้วไม่ถอยมาในวัฏฏอีก  ไม่มาในเบื้องต่ำอีกแล้ว  เป็นเอกชาติปฏิภัททะ  เอกชาติปฏิภัททะแปลว่า  เกี่ยวเนื่องกับการเกิดอีกเพียงชาติเดียว  เหมือนกันพระอนาคานั่นแหละ  เกี่ยวเนื่องมีชาติอีกชาติเดียวคือไปเกิดในชั้นสุทธาวาส  เพราะฉะนั้นนิกายพอสร้างขึ้นแล้ว แพร่หลายใหญ่ คนชอบมาก โอดี ไม่ต้องไปปฏิบัติขัดเกลาอะไรมาก  เราเอาแค่นี้ก็พอ  แต่ว่าท่านทั้งหลาย นี่เป็นเพียงอุบายนะ  คณาจารย์ทางมหายานเขาเข้าใจ สร้างอุบายพวกนี้เพราะเห็นว่า  จะสอนคนให้เข้าถึงธรรมะขั้นโลกุตระชั้นสูงนะ  เหมือนเข็นครกขึ้นเขาลำบากมาก  เพราะฉะนั้น  ไม่มีอุบายที่จะชักจูงสั่งสอนในมีที่ยึดเหนี่ยว บ้างแล้วละก็ คนจะไม่เข้าถึงตัวศาสนาที่แท้  เพราะฉะเขาจึงวางอุบาย เรียกว่ากุศโลบาย  เป็นการชักจูงบุคคลให้มาติดในชั้นนี้ก่อน  แล้วภายหลังจึงได้สอนธรรมะให้สุขุมคัมภีรภาพไปตามลำดับชั้น  นี่เป็นสอนธรรมะขั้นปุคคลาธิฐาน  เพราะฉะนั้นเราศึกษาลัทธิมหายานต้องเข้าใจทั้งด้านปุคคลาธิษฐาน  กับธรรมาธิษฐาน  พอเราติดในเรื่องสุขาวดีแล้ว  อาจารย์มหายานจะสอนธรรมาธิษฐานทีเดียว  บอกว่าคำว่าอมิตาภะหมายถึงปัญญาในตัวเราหรอก  ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนา  แดนสุขาวดีไม่จำเป็นต้องเป็นแดนนั้นจริงๆ  แต่มันอยู่ในใจเราก็ได้  ถ้าหากว่าเราสามารถตัดกิเลสได้  สุขาวดีอยู่ที่นี่ ขณะนี้ อารมณ์นี้  ไม่ต้องไปรอไว้ชาติหน้า  นี่หักเป็นธรรมาธิษฐานเลย  คือว่าการศึกษาลัทธิมหายาน  เราต้องมีไหวทันว่า อะไรที่ท่านพูดเป็นบุคคลาธิษฐาน อะไรที่ท่านพูดเป็นธรรมาธิษฐาน  เราไหวอย่างนี้แล้วละก้อ เราจะเห็นว่า คติในมหายานไม่ขัดกับเถรวาทเราหรอก  แต่ว่าทางเถรวาทเรานะเว้ากันซี่อๆ พูดตรงไปตรงมา  ทางมหายานเขามีการพลิกแพลงที่จะพูด ถ้าจะเปรียบเหมือนกับยา เถรวาทก็เหมือนกับยาหม้อยาหนึ่ง กินไปก็รักษาโรคได้ชะมั๋ง หาย แต่สีของยาไม่น่ากิน  แต่ทางมหายานเขาเข้าใจ  เอาสีต่างๆมาโรย  ยาหม้อนี้ให้ชวนกิน  หรือเปรียบด้วยยาลูกกลอน  เถรวาทเป็นยาลูกกลอนล้วนๆไม่มีสีสัน  เราเว้ากันซึ่อๆเราพูดกันอย่างตรงไปตรงมา  เอาธรรมะเป็นใหญ่  ไม่ได้อิงอาศัยบุคคลเป็นใหญ่  อิงอาศัยโลกเป็นใหญ่  แต่ว่าทางมหายานเขาคำนึงถึงโลกาธิปไตย  อัตตาธิปไตยด้วย แล้วก็เอาธรรมาธิปไตยมาให้ภายหลัง  ถ้าเปรียบเหมือนยาลูกกลอนก็เป็นลูกกลอนที่หุ้มน้ำตาลเป็นลูกกวาด ให้คนเห็นว่าน่ากิน  มีสีต่างๆ แดง เขียว เหลือง  ชวนกัน  กินเข้าไปมันก็ยาเหมือนกัน  ฉันใดก็ฉันนั้น  เหตุนี้แหละมหายานจึงแพร่หลายโอบอุ้มคนมาก  เข้าถึงได้โฆษณาว่ามหายานเพื่อมหาชน  มหายานขนคนข้ามวัฏฏได้เยอะ เยอะก็แยอะด้วยวิธีนี้  เพราะมีไอ้การพลิกแพลงกุศโลบายชักจูงคนให้เข้ามา เช่นคนยังติดอ้อนวอน ติดไปสวรรค์ทางลัด  ของเขาก็เสนอว่ามี  ไม่ต้องไปถึงศาสนาอื่นหรอก ไม่ต้อง พุทธเราก็มี นิกายสุขาวดี  อยากล้างบาป อยากถ่ายบาป พระอมิตาภะท่านเตรียมพร้อมไว้ช่วยถ่ายบาปเราแล้ว  ไม่ต้องไปเป็นคริสเตียน ไม่ต้องไปเป็นไศวะ ฮินดู อิสลาม ไม่ต้องหรอกมานับถือนิกายสุขาวดีนี้พอ 

เมื่อหลายปีมาแล้ว พระลังกาองค์หนึ่งที่แก่ไปฆ่า  นายกรัฐมนตรีลังกาตายนะ นายซันตรไมเก ถูกยิงตาย  พระลังกาปราชิกองค์นี้ฆ่ามนุษย์ตายแล้ว  แก่ก็ถูกเขาสึกแล้วก็จับขังไว้  แล้วศาลพิพากษาประหารชีวิตด้วยวิธีแขวนคอ  ปรากฏว่าแก่เปลี่ยนศาสนาในวินาทีสุดท้ายไปเป็นคริสเตียน แก่บอกว่าพุทธนะไม่มีล้างบาปนี่  ช่วยแก่ไม่ได้ แกเป็นคริสเตียนพระเจ้าล้างบาปยกบาปให้แก่ได้  แหมน่าเสียใจจริง ที่แกไปเป็นคริสเตียน ความจริงถ้าแกอยากจะล้างบาป แกไม่ต้องเปลี่ยนศาสนาหรอก  เป็นนิกายสุขาวดีก็ล้างกันได้แล้ว  ฝ่ายมหายานนี่ ไม่เป็นไร  ถ้ามีความจงรักภักดี  มีศรัทธาตั้งมั่นแล้ว  มีวิธีที่จะยกบาปให้  ยกบาป ไม่ใช่แทงสูญนะ  แทงสูญก็ขัดหลักกรรมในพุทธศาสนาสิ  ไม่ขัดหรอกนิกายสุขาวดีก็คำนึงถึงเรื่องหลักกรรมเหมือนกัน ไม่ใช่ตั้งนิกายใหม่ในพุทธศาสนาแล้วค้านหลักกรรม  เป็นเพียงแต่ว่า ไอ้บาปที่แกทำนะ เก็บไว้ก่อนยังไม่พูดถึง  เก็บไว้ติดตัวแกไปอบรมบ่มนิสัย  ไอ้ตอนที่อยู่ในดอกบัวหุบนั่นแหละ  หุบอยู่เป็นกัปๆนี่แหละ  ไม่ชำระด้วยศาสนาในดอกบัวหุบนะ  ไม่ใช่ว่าบาปยกหายไปนะ ไอ้บาปนั้นไม่หาย  พาติดไปด้วยไปเกิดสุขาวดี  แทนที่จะไปลงอบายตกนรก  ไม่ต้องไป  ไปสุขาวดีแล้ว  นิกายสุขาวดีเขามีให้อย่างนี้  แล้วอันที่จริงไอ้เรื่องยกบาปในศาสนาที่มีพระเจ้านะ  ถ้าเราพิจารณาตามหลักเหตุผลแล้วมันยกให้กันไม่ได้หรอก

ไอ้ยกบาปนี่มันพูดเออกันเองระหว่างตัวบาทหลวงกับไอ้คนที่มาล้างบาปต่างหากละ สมรู้ค่ะขากันเองต่างหากเหล่า  ที่ไหนพระเจ้าจะมาเอออวยค่ะขารับรู้ด้วย เปล่า เราบอกว่าคุณพ่อ ตัวของลูกนะวันนั้น เดือนนั้นได้ทำบาปอย่างนั้นๆ อย่างนั้นๆ เพราะบอกว่าเออลูกเอ๋ย พระเจ้าได้ยกบาปให้ลูกแล้วนะ  ต่อไปลูกพึงสังวรไว้เถิดนะ  บัดนี้ลูกได้ถ่ายบาปแล้ว  ไอ้นั้นมันบาทหลวงพูด พระเจ้าพูดที่ไหนกัน เออๆพูดค่ะขากันเอง  มันเป็นผลพลอยได้ทางจิตวิทยา  คือว่ามีทางระบายความกลุ้มอกกลุ้มใจ  มีคนหนึ่งรับรู้เท่านั้นเอง  มันก็สบายใจหลอกตัวเองสบายใจไปพักหนึ่ง  ที่ไหนมันจะยกบาปได้  ถ้ายกบาปได้อย่างนี้ก็อยุติธรรมนะซิ  เพราะฉะนั้นหลักของกรรมในพุทธศาสนาจึงสอนเรื่องความเป็นยุติธรรมเป็นใหญ่  ไม่สอนเรื่องอยุติธรรมอย่างนี้ 

ตกลงว่าในราชวงศ์ถังนี่แหละ  เกิดนิกายสุขาวดีขึ้น  แล้วก็ต่อมาก็มีนิกายเซ็น  นิกายเซ็นตรงกันข้ามกับสุขาวดีเลย  สุขาวดีนะนิกายเซ็นปัดหมด ไม่เอาหมด  สุขาวดีก็ไม่อยากไป  ไม่เอา  ต้องเอาเป็นพุทธะ เป็นนิพพานในชั่วโมงนี้  นิกายเซ็นสอนว่าทุกคน เมื่อมีธาตุพุทธในตัว  อย่างนิกายสัทธรรมปุณฑรีกะ กับ นิกาย อวตังสกแล้ว ทำไมเราไม่เอาไอ้ธาตุพุทธในตัวนี้ออกมาล่ะ ถ้าจะเปรียบ  พุทธะ  พุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้ว  พระอรหันต์ทั้งหลายนี้ เหมือนกับเพชรที่เจียระนัยแล้ว  ประดับอยู่บนเรือนแหวน  หรือบนสร้ายศอต่างๆ  งดงามเปล่งแสงพร่างพราว  เพรชคือธาตุพุทธะในสรรพสัตว์เหมือนเพชรที่อยู่ในหินยังไม่ได้เจียรนัย  เหมือนทองที่ปนอยู่กับทรายในลำธาร  ถ้าว่ากันถึงตัวเนื้อธาตุ ธาตุทองในลำธาร   หรือธาตุเพชรในก้อนหิน ก็เป็นธาตุเดียวกับเพชรที่เจียรนัยบนเรือนแหวน  อันเดียวกัน แต่ที่แตกต่างกันนะ  แตกต่างกันที่รูป  แสง และสถานที่ตั้ง แตกต่างเท่านั้นเองฉันใด  ผู้ตรัสรู้แล้ว  กับปุถุชนผู้ยังไม่ตรัสรู้นะ  ความจริงก็มีธาตุเป็นพุทธะเสมอกันหมด   แต่ปุถุชนเรานะเหมือนเพชรที่ยังอยู่ในหิน  ยังไม่ได้ผ่านการเจียรนัย  เหมือนทองที่ยังไม่ถูกการร่อน  ก็เลยปะปนกับพวกกิเลส  จึงต้องเวียนว่ายตายเกิด  แต่ผู้ที่ได้ร่อนแล้ว ได้เจียรนัยแล้วก็หลุดพ้นจากความเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเป็นเช่นนี้ 

นิกายเซ็นจึงสอนให้เราผุดธาตุที่เป็นพุทธะที่มีอยู่แล้วในตัวออกมา  เมื่อเราผุดออกมาได้เราก็เป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนี้  วินาทีนี้ ชั่วมโมงนี้ ที่นี่  ไม่ต้องไปรอคอย ไม่ไปเกิดในชาติหน้าชาติไหน ที่ไหน  นิกายเซ็นจึงสอนให้ไปนิพพานอย่างฉับพลัน  โดยทางลัดเหมือนกัน  ทั้ง2 นิกายนะทางลัดหมด  อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า  เออสุขาวดี ดีกว่า สุขาวดีเปรียบเหมือนว่า  เราเดินทางไปนะ อาศัยเรือไปไม่ต้อง ลงทุนลงรอนมากนั่งในเรือ เรือพาเราไปถึงที่จุดหมาย  ถ้าว่าตามนิกายเซ็นแล้ว ต้องลงทุนไปทางบก สถลมรรค ทางบก  ต้องบุกป่าฝ่าหนาม  ดีไม่ดีอาจจะไปเจอเสื้อช้าง ลำบาก  ไปทางสุขาวดี ไปทางชลมรรค ขี่เรือไป  เรือในที่กล่าวนี้คือพระนิพพาน ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ท่านตั้งเอาไว้ท่านโอบอุ้มหิ้วเราไปด้วย 

สองนิกายนี้ก็เกิดแข่งกันขึ้น  ในสมัยราชวงศ์ถัง  เรื่องราวนิกายเซ็นถ้าท่านทั้งหลายอยากทราบละเอียดก็ เชิญไปอ่านเรื่องเว่ยหลาง สูตรเว่ยหลางที่พิมพ์กันแล้วนั่นแหละ  เป็นตัวแทนนิกายเซ็น  ว่ามีอะไรบ้าง วันนี้ก็เห็นจะพอสมควรแก่เวลาขอจบเพียงเท่านี้ก่อน

 

ดาวน์โหลดตัวอักษร (ฟ้อนต์) ทิเบตทั้ง ๓ แบบ เพื่อความสมบูรณ์ในการชมเว็บ

actisan.ttf

adtibet.ttf

atibet.ttf


uptime alert service

website monitor

View My Stats